การชี้บ่งอันตรายและการประเมินความเสี่ยงตามระบบ ISO45001:2018
การชี้บ่งอันตรายและการประเมินความเสี่ยง เป็นขั้นตอนแรกและสำคัญที่สุดในการดำเนินงานตามมาตรฐาน ISO 45001 เนื่องจากเป็นการระบุถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นในสถานที่ทำงาน และประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากอันตรายเหล่านั้น เพื่อนำไปสู่การวางแผน และดำเนินมาตรการป้องกันและควบคุมความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทำไมการชี้บ่งอันตรายและการประเมินความเสี่ยงจึงสำคัญ ?
ในโลกการทำงานที่เต็มไปด้วยความเสี่ยง การสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยให้กับพนักงานเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง มาตรฐาน ISO 45001:2018 เกิดขึ้นเพื่อเป็นแนวทางในการจัดการระบบบริหารจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย (OHSAS) โดยมีเป้าหมายหลักคือการป้องกันอุบัติเหตุและโรคจากการทำงาน และการปรับปรุงสุขภาวะและสวัสดิการของพนักงานอย่างต่อเนื่อง
ประโยชน์ของการชี้บ่งอันตรายและการประเมินความเสี่ยง
- ลดอุบัติเหตุและโรคจากการทำงาน ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุและโรคจากการทำงาน
- เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน สภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยส่งผลให้พนักงานทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ลดต้นทุน ลดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ค่าชดเชย และค่าเสียหายจากอุบัติเหตุ
- สร้างภาพลักษณ์ที่ดี สร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า พนักงาน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
- สอดคล้องกับกฎหมายและข้อบังคับ เป็นการปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง
การชี้บ่งอันตราย และการประเมินความเสี่ยงเป็นขั้นตอนพื้นฐานและสำคัญในการจัดทำระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัยตามมาตรฐาน ISO 45001:2018 การดำเนินการอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพจะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ปลอดภัยและมีสุขภาพที่ดีสำหรับทุกคน
การประเมินความเสี่ยง คืออะไร ?
การประเมินความเสี่ยง คือ กระบวนการที่ใช้ในการวิเคราะห์และประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากอันตรายหรือเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ โดยพิจารณาถึงความน่าจะเป็นที่จะเกิดขึ้นและความรุนแรงของผลกระทบที่อาจตามมา
ขั้นตอนการประเมินความเสี่ยง
- ระบุอันตราย หาให้ออกว่ามีอะไรบ้างที่อาจก่อให้เกิดอันตราย เช่น สารเคมีอันตราย เครื่องจักรที่เสื่อมสภาพ สภาพแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัย
- ประเมินความน่าจะเป็น ประเมินว่าแต่ละอันตรายมีโอกาสเกิดขึ้นมากน้อยเพียงใด เช่น บ่อยครั้ง น้อยครั้ง หรือแทบไม่เคยเกิดขึ้น
- ประเมินความรุนแรง ประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากแต่ละอันตราย เช่น บาดเจ็บเล็กน้อย บาดเจ็บสาหัส ความเสียหายต่อทรัพย์สิน
- จัดระดับความเสี่ยง กำหนดระดับความเสี่ยงของแต่ละอันตราย โดยพิจารณาจากทั้งความน่าจะเป็นและความรุนแรง
- กำหนดมาตรการควบคุม วางแผนมาตรการเพื่อลดหรือกำจัดความเสี่ยง เช่น การติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล การปรับปรุงกระบวนการทำงาน การฝึกอบรมพนักงาน
ประโยชน์ของการประเมินความเสี่ยง
- ลดอุบัติเหตุและโรคจากการทำงาน ช่วยป้องกันการเกิดอุบัติเหตุและโรคที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน
- เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน สภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยส่งผลให้พนักงานทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ลดต้นทุน ลดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ค่าชดเชย และค่าเสียหายจากอุบัติเหตุ
- สร้างภาพลักษณ์ที่ดี สร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า พนักงาน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
- สอดคล้องกับกฎหมายและข้อบังคับ เป็นการปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง
ตัวอย่างของอันตรายที่พบได้ในสถานที่ทำงาน
- อันตรายจากทางกายภาพ เสียงดัง ฝุ่นละออง ความร้อน สารเคมี
- อันตรายจากทางชีวภาพเชื้อโรค แบคทีเรีย ไวรัส
- อันตรายจากทางจิตวิทยา ความเครียด การถูกคุกคาม การข่มเหง
การประเมินความเสี่ยงเป็นกระบวนการที่ต้องทำอย่างต่อเนื่องและมีการปรับปรุงอยู่เสมอ เนื่องจากสภาพแวดล้อมในการทำงานเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การประเมินความเสี่ยงจึงเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้องค์กรสามารถปรับตัวและรับมือกับความเปลี่ยนแปลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การวิเคราะห์ความเสี่ยงจากการทำงาน
การวิเคราะห์ความเสี่ยงจากการทำงาน ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญในการสร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ปลอดภัย กระบวนการนี้ประกอบด้วยขั้นตอนหลักๆ 5 ขั้นตอน และมีหลักการพื้นฐานที่เรียกว่า ROEOC เพื่อช่วยให้เราเข้าใจถึงกระบวนการนี้ได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น
ขั้นตอนในการวิเคราะห์ความเสี่ยง
- ระบุอันตราย (Hazard Identification) ขั้นตอนแรกคือการระบุถึงสิ่งต่างๆ ที่อาจก่อให้เกิดอันตราย เช่น สารเคมีอันตราย เครื่องจักรชำรุด สภาพแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัย เป็นต้น
- ประเมินความเสี่ยง (Risk Assessment) หลังจากระบุอันตรายแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการประเมินว่าอันตรายเหล่านั้นมีความรุนแรงมากน้อยแค่ไหน และมีโอกาสเกิดขึ้นบ่อยแค่ไหน
- จัดระดับความเสี่ยง เมื่อประเมินความเสี่ยงแล้ว จะต้องทำการจัดระดับความเสี่ยงของแต่ละอันตราย เพื่อให้ทราบว่าอันตรายใดมีความสำคัญเร่งด่วนที่สุด
- กำหนดแผนงานบริหารจัดการความเสี่ยง (Risk Management Program) เมื่อทราบระดับความเสี่ยงแล้ว ก็จะต้องวางแผนการจัดการความเสี่ยง โดยกำหนดมาตรการป้องกันและควบคุมที่เหมาะสมกับแต่ละอันตราย
หลักการ ROEOC
- Recognition (ตระหนัก) หมายถึง การตระหนักรู้ถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้น
- Evaluation (ประเมิน) หมายถึง การประเมินความรุนแรงและความน่าจะเป็นของอันตราย
- Control (ควบคุม) หมายถึง การกำหนดมาตรการควบคุมเพื่อลดหรือกำจัดอันตราย
ทำไมการวิเคราะห์ความเสี่ยงจึงสำคัญ?
- ลดอุบัติเหตุ ช่วยลดโอกาสเกิดอุบัติเหตุและโรคจากการทำงาน
- เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน สภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยทำให้พนักงานทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ลดต้นทุน ลดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ค่าชดเชย และค่าเสียหายจากอุบัติเหตุ
- สร้างภาพลักษณ์ที่ดี สร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า พนักงาน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
- สอดคล้องกับกฎหมายและข้อบังคับ เป็นการปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง
ตัวอย่างการนำไปใช้
สมมติว่าเราทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม เราอาจจะพบว่ามีอันตรายจากสารเคมีที่ใช้ในการผลิต ดังนั้นเราจะต้องทำการประเมินความเสี่ยงว่าสารเคมีชนิดนี้มีความรุนแรงมากน้อยแค่ไหน หากสัมผัสหรือสูดดมเข้าไปจะเกิดอันตรายอะไรบ้าง และมีโอกาสเกิดเหตุการณ์ที่สารเคมีรั่วไหลมากน้อยเพียงใด จากนั้นจึงกำหนดมาตรการควบคุม เช่น การสวมใส่ชุดป้องกันส่วนบุคคล การติดตั้งระบบระบายอากาศที่ดี เป็นต้น
การวิเคราะห์ความเสี่ยงเป็นกระบวนการที่สำคัญอย่างยิ่งในการสร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ปลอดภัย การทำความเข้าใจขั้นตอนต่างๆ และหลักการ ROEOC จะช่วยให้เราสามารถระบุและจัดการกับความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ และลดความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุหรือโรคจากการทำงานได้
ประเภทของอันตราย (Hazard Source)
ประเภทของอันตราย (Hazard Source) ที่เราอาจพบเจอได้ในสถานที่ทำงาน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการวิเคราะห์ความเสี่ยงในการทำงาน เพื่อให้เราสามารถป้องกันและลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้
ประเภทของอันตราย
- อันตรายจากเครื่องจักร อุปกรณ์ อันตรายที่เกิดจากการใช้งานเครื่องจักร เช่น เครื่องจักรบด เครื่องจักรตัด เครื่องจักรกลึง หรืออุปกรณ์ต่างๆ ที่มีส่วนเคลื่อนไหว อาจก่อให้เกิดอันตรายจากการถูกบด บีบ หรือดูดเข้าไปในเครื่องจักรได้
- อันตรายจากวัตถุหนักตกใส่ อันตรายที่เกิดจากวัตถุที่มีน้ำหนักมากตกลงมาใส่ เช่น วัสดุที่วางไม่มั่นคง หรือวัตถุที่ร่วงหล่นจากที่สูง
- อันตรายจากยานพาหนะ อันตรายที่เกิดจากการใช้งานยานพาหนะภายในโรงงาน เช่น รถยก รถโฟล์คลิฟท์ อาจเกิดอุบัติเหตุชน หรือทับคนงานได้
- อันตรายจากกระแสไฟฟ้า อันตรายจากการสัมผัสกับกระแสไฟฟ้า อาจทำให้เกิดไฟฟ้าช็อต หรือไฟไหม้ได้
- อันตรายจากการตกจากที่สูง อันตรายที่เกิดจากการตกจากที่สูง เช่น บันได หลังคา หรือที่ทำงานที่ไม่มีราวกั้น
- อันตรายจากสารเคมี ไอระเหย ฝุ่น ฟูม ควัน อันตรายที่เกิดจากการสัมผัสกับสารเคมีต่างๆ เช่น สารเคมีกัดกร่อน สารเคมีระเหย อาจทำให้เกิดการระคายเคืองผิวหนัง ระบบทางเดินหายใจ หรือเป็นพิษได้
- อันตรายจากความร้อน ความเย็น แสง เสียง อันตรายที่เกิดจากสภาพแวดล้อมที่ร้อนจัด เย็นจัด มีแสงจ้า หรือเสียงดัง อาจทำให้เกิดอาการป่วยหรือบาดเจ็บได้
- อันตรายจากรังสี สนามแม่เหล็กไฟฟ้า อันตรายที่เกิดจากการสัมผัสกับรังสี เช่น รังสีเอกซ์ หรือสนามแม่เหล็กไฟฟ้า อาจทำให้เกิดมะเร็ง หรือความผิดปกติทางพันธุกรรมได้
- อันตรายจากเชื้อโรค ไวรัส แบคทีเรีย สัตว์ อันตรายที่เกิดจากการสัมผัสกับเชื้อโรคต่างๆ อาจทำให้เกิดโรคติดต่อได้
- อันตรายด้านจิตวิทยาสังคม อันตรายที่เกิดจากปัจจัยทางจิตใจ เช่น ความเครียด การถูกคุกคาม การข่มเหง อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตและประสิทธิภาพในการทำงาน
ความสำคัญของการระบุประเภทของอันตราย
การระบุประเภทของอันตรายเป็นขั้นตอนแรกและสำคัญที่สุดในการวิเคราะห์ความเสี่ยง เมื่อเราทราบว่ามีอันตรายอะไรบ้างในสถานที่ทำงาน เราจึงสามารถวางแผนและดำเนินมาตรการป้องกันและควบคุมความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ตัวอย่างการนำไปใช้
- หากพบว่ามีอันตรายจากสารเคมี เราอาจจะต้องติดป้ายเตือนอันตราย จัดเตรียมอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล และจัดอบรมให้พนักงานทราบถึงวิธีการปฏิบัติงานอย่างปลอดภัย
- หากพบว่ามีอันตรายจากการตกจากที่สูง เราอาจจะต้องติดตั้งราวกั้น หรือให้พนักงานสวมใส่สายรัดนิรภัย
การทำความเข้าใจประเภทของอันตรายต่าง ๆ จะช่วยให้เราสามารถระบุและประเมินความเสี่ยงได้อย่างถูกต้อง และนำไปสู่การวางแผนเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
การเตรียมแผนปฏิบัติการควบคุมความเสี่ยง
ขั้นตอนสำคัญ 5 ขั้นตอนในการเตรียมแผนปฏิบัติการเพื่อควบคุมความเสี่ยง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการบริหารจัดการความปลอดภัย
ขั้นตอนต่างๆ
- รวบรวมเอกสารข้อมูล ขั้นตอนแรกคือการรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเอกสาร ข้อมูลการปฏิบัติงาน หรือข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานที่เราต้องการวิเคราะห์ความเสี่ยง
- ระบุอันตราย หลังจากรวบรวมข้อมูลแล้ว เราจะต้องทำการระบุอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้จากงานนั้นๆ โดยพิจารณาจากข้อมูลที่ได้รวบรวมมา
- กำหนดความเสี่ยง เมื่อระบุอันตรายได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการประเมินความเสี่ยงของแต่ละอันตราย โดยพิจารณาถึงความรุนแรงของอันตรายและความน่าจะเป็นที่อันตรายนั้นจะเกิดขึ้น
- ตรวจสอบและปรับปรุง หลังจากกำหนดความเสี่ยงแล้ว เราจะต้องตรวจสอบและปรับปรุงข้อมูลที่ได้ เพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลที่ได้นั้นถูกต้องและครบถ้วน
- เตรียมแผนปฏิบัติการควบคุมความเสี่ยง ขั้นตอนสุดท้ายคือการจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อควบคุมความเสี่ยงที่ได้ระบุไว้ โดยแผนนี้จะต้องระบุมาตรการป้องกันและควบคุมที่ชัดเจน รวมถึงผู้รับผิดชอบในการดำเนินการ
ความสำคัญของการเตรียมแผนปฏิบัติการควบคุมความเสี่ยง
- ลดความเสี่ยง ช่วยลดโอกาสเกิดอุบัติเหตุและเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์
- เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน สภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยทำให้พนักงานทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ลดต้นทุน ลดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ค่าชดเชย และค่าเสียหายจากอุบัติเหตุ
- สร้างภาพลักษณ์ที่ดี สร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า พนักงาน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
- สอดคล้องกับกฎหมายและข้อบังคับ เป็นการปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง
ตัวอย่างการนำไปใช้
สมมติว่าเราทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม เราอาจจะพบว่ามีอันตรายจากการถูกเครื่องจักรบีบ ดังนั้นเราจะต้องทำการประเมินความเสี่ยงว่าอันตรายนี้มีความรุนแรงมากน้อยแค่ไหน และมีโอกาสเกิดขึ้นบ่อยแค่ไหน จากนั้นจึงกำหนดมาตรการควบคุม เช่น การติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล การติดตั้งเซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหว และให้พนักงานสวมใส่ชุดป้องกัน เป็นต้น
การเตรียมแผนปฏิบัติการควบคุมความเสี่ยงเป็นกระบวนการที่สำคัญอย่างยิ่งในการสร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ปลอดภัย การทำความเข้าใจขั้นตอนต่างๆ จะช่วยให้เราสามารถระบุและจัดการกับความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ และลดความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุหรือโรคจากการทำงานได้
แผนงานการควบคุมตามระดับความเสี่ยง
แผนงานการควบคุมตามระดับความเสี่ยง เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการจัดการความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในองค์กร โดยจะพิจารณาจากระดับความรุนแรงของความเสี่ยง และกำหนดมาตรการควบคุมที่เหมาะสมกับแต่ละระดับ ซึ่งจะช่วยลดโอกาสเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์และผลกระทบที่อาจตามมาได้
ระดับความเสี่ยงออกเป็น 5 ระดับ และกำหนดมาตรการควบคุมที่แตกต่างกันไป ดังนี้
1. ระดับความเสี่ยงสูงมาก (1)
- ความเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบร้ายแรง เช่น การสูญเสียชีวิต ทรัพย์สินเสียหายจำนวนมาก
- ต้องดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วนและจริงจัง อาจต้องหยุดดำเนินงานบางส่วนหรือทั้งหมดชั่วคราว เพื่อลดความเสี่ยงลงให้มากที่สุด
- ความเสี่ยงที่มีโอกาสเกิดขึ้นสูง และหากเกิดขึ้นจะส่งผลกระทบร้ายแรง
- ต้องมีการวางแผนและดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็ว กำหนดมาตรการป้องกันที่เข้มงวด และจัดสรรทรัพยากรที่จำเป็น
- ความเสี่ยงที่มีโอกาสเกิดขึ้นปานกลาง และหากเกิดขึ้นจะส่งผลกระทบในระดับปานกลาง
- ควรมีการวางแผนเพื่อลดความเสี่ยง แต่ไม่จำเป็นต้องเร่งด่วนเท่ากับระดับสูง อาจพิจารณาถึงต้นทุนและประโยชน์ในการดำเนินมาตรการ
- ความเสี่ยงที่มีโอกาสเกิดขึ้นต่ำ และหากเกิดขึ้นจะส่งผลกระทบเพียงเล็กน้อย
- อาจไม่จำเป็นต้องดำเนินการใดๆ เพิ่มเติม หรืออาจมีการติดตามสถานการณ์อย่างสม่ำเสมอ
- ความเสี่ยงที่แทบจะไม่เกิดขึ้น
- ไม่จำเป็นต้องดำเนินการใดๆ เพิ่มเติม
แผนงานการควบคุมตามระดับความเสี่ยงเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการบริหารจัดการความเสี่ยง โดยช่วยให้องค์กรสามารถระบุความเสี่ยง ประเมินระดับความรุนแรง และกำหนดมาตรการควบคุมที่เหมาะสม ซึ่งจะช่วยลดความสูญเสียและสร้างความมั่นใจให้กับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
สรุป
การชี้บ่งอันตรายและการประเมินความเสี่ยงเป็นขั้นตอนที่สำคัญในการสร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ปลอดภัยและมีสุขภาพดี โดยองค์กรจะต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อให้แน่ใจว่าความเสี่ยงทั้งหมดได้รับการควบคุมอย่างเหมาะสม