PM 2.5 เรื้อรังอันตราย เสี่ยงก่อโรคมะเร็งปอด
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คนไทยคุ้นชินกับคำว่า PM 2.5 มากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะมาจากข่าว การแจ้งเตือนค่าคุณภาพอากาศ หรือภาพท้องฟ้าที่หม่นขุ่นในหลายพื้นที่ แต่สิ่งที่หลายคนอาจยังไม่รู้คือ “มลพิษทางอากาศชนิดนี้ไม่ได้แค่ทำให้ไอ แสบจมูก หรือแสบตา” เท่านั้น แต่มันสามารถ “เพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งปอด” ซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของคนไทย
ข้อมูลชี้ชัดว่า มะเร็งปอดเป็นสาเหตุการเสียชีวิต อันดับ 2 ของชายไทย และ อันดับ 1 ของหญิงไทย โดยปัจจัยเสี่ยงดั้งเดิมอย่างการสูบบุหรี่ยังคงเป็นตัวการสำคัญ แต่ปัจจุบันพบแนวโน้มผู้ป่วยมะเร็งปอดในกลุ่มที่ไม่สูบบุหรี่เพิ่มขึ้น และหนึ่งในตัวแปรสำคัญคือ มลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะ PM 2.5
ในบทความนี้ เซฟตี้อินไทย จะพาผู้อ่านทำความเข้าใจว่า PM 2.5 คืออะไร อันตรายแค่ไหน ทำไมถึงเพิ่มโอกาสเกิดมะเร็งปอด และเราสามารถป้องกันตัวเองอย่างไรในยุคที่อากาศไม่ได้ปลอดภัยเหมือนเดิมอีกต่อไป
PM 2.5 คืออะไร และมาจากไหน
PM 2.5 หรือ Particulate Matter ขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน คือ “ฝุ่นขนาดเล็กจิ๋ว” ที่เล็กกว่าเส้นผมมนุษย์ถึง 20 เท่า เล็กจนสามารถเล็ดลอดเข้าสู่ถุงลมปอด และผ่านเข้าสู่กระแสเลือดได้โดยตรง
แหล่งกำเนิดหลักของ PM 2.5 ได้แก่
- ควันจากท่อไอเสียรถยนต์
- การเผาในที่โล่ง เช่น การเผาตอซัง พื้นที่เกษตร และขยะ
- โรงงานอุตสาหกรรม
- กระบวนการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์
ภายในอนุภาคฝุ่นเล็ก ๆ เหล่านี้ยังอาจปนเปื้อนสารเคมี เช่น
- โพลีไซคลิกอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน (PAHs)
- โลหะหนักบางชนิด
ซึ่งเป็นสารที่มีคุณสมบัติ “ก่อมะเร็ง”
เพราะฉะนั้น PM 2.5 ไม่ใช่แค่ฝุ่นธรรมดา แต่มันคือ “สารผสมลอยฟ้า” ที่รวมทั้งฝุ่นละเอียดและสารพิษที่ร่างกายไม่ต้องการทุกชนิดเข้าไว้ด้วยกัน
PM 2.5 กับความเสี่ยงมะเร็งปอด—เกี่ยวข้องกันอย่างไร
เมื่อเราหายใจเอา PM 2.5 เข้าไป อนุภาคเหล่านี้จะผ่านโพรงจมูก เข้าไปยังหลอดลม ถุงลมปอด และสามารถเข้าสู่กระแสเลือด ผลกระทบมีทั้งระยะสั้นและระยะยาว
ผลกระทบระยะสั้น
- แสบจมูก แสบตา ระคายเคืองตา
- หายใจลำบาก โดยเฉพาะในผู้ป่วยโรคปอดโรคหัวใจ
- ทำให้อาการภูมิแพ้และหอบหืดกำเริบ
ผลกระทบระยะยาว หากร่างกายได้รับ PM 2.5 ในปริมาณมากเป็นระยะเวลานาน ความเสี่ยงโรคเหล่านี้จะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
- โรคหอบหืดเรื้อรัง
- ถุงลมโป่งพอง
- โรคหัวใจและหลอดเลือด
- โรคหลอดเลือดสมอง
- โรคไต
- มะเร็งปอด
งานวิจัยพบว่า ระดับ PM 2.5 ที่ 22 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร สามารถเทียบเท่ากับ “การสูบบุหรี่ 1 มวน” แม้อาจไม่ได้รุนแรงเท่าบุหรี่โดยตรง แต่การได้รับฝุ่นเป็นเวลานานทุกวันสะสมจนกลายเป็นความเสี่ยงที่อันตรายไม่น้อยกว่ากัน
ทำไม PM 2.5 ถึงทำให้เสี่ยงมะเร็งปอด
คำตอบคือ “การอักเสบเรื้อรัง” และ “สารพิษที่ปนเปื้อนในฝุ่น”
- ฝุ่นเล็กจนเข้าสู่เลือดได้ PM 2.5 มีขนาดเล็กมาก เมื่อเข้าสู่ปอดจะกระตุ้นให้เกิดการอักเสบอย่างต่อเนื่อง
- สารพิษในฝุ่นทำลายเซลล์ปอด สารอย่างโพลีไซคลิกอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน (PAHs) มีคุณสมบัติทำลาย DNA ของเซลล์ถ้าเซลล์ถูกทำลายซ้ำ ๆ นานเข้า โอกาสเกิดเซลล์ผิดปกติหรือ “มะเร็ง” ก็เพิ่มสูงขึ้น
- การอักเสบเรื้อรังทำให้เซลล์เสื่อมสภาพแวดล้อมที่เซลล์ต้องซ่อมแซมตัวเองตลอดเวลาเป็นพื้นฐานของการเกิดเซลล์กลายพันธุ์ที่นำไปสู่มะเร็งปอด
กล่าวง่าย ๆ คือ PM 2.5 ทำให้เกิดทั้ง “การทำลายเซลล์” และ “การรบกวนกระบวนการซ่อมแซม” ส่งผลให้ความเสี่ยงมะเร็งปอดเพิ่มขึ้น 1–1.4 เท่า
ใครบ้างคือกลุ่มเสี่ยง
กลุ่มเสี่ยงที่ได้รับผลกระทบจาก PM 2.5 มากกว่าเฉลี่ย ได้แก่
- เด็กเล็ก (ระบบหายใจยังพัฒนาไม่สมบูรณ์)
- หญิงตั้งครรภ์
- ผู้สูงอายุ
- ผู้ที่มีโรคเรื้อรัง เช่น โรคปอด หัวใจ ไต
- ผู้ที่สูบบุหรี่หรืออยู่ในสถานที่ที่มีควันบุหรี่
- ผู้ที่ทำงานกลางแจ้งหรือทำงานใกล้แหล่งกำเนิดฝุ่น
นอกจากนี้ ผู้ที่ใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ที่มีควันรถหนาแน่น ก็ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงโดยปริยายเช่นกัน
การตรวจคัดกรองมะเร็งปอด—ใครควรตรวจ Low-dose CT Scan
ปัจจุบันแพทย์แนะนำให้กลุ่มเสี่ยงตรวจคัดกรองด้วย Low Dose CT Scan โดยเฉพาะ
- ผู้ที่อายุ 55 ปีขึ้นไป
- สูบบุหรี่เฉลี่ย 20 มวน/วัน นาน 30 ปี หรือ
- สูบบุหรี่เฉลี่ย 40 มวน/วัน นาน 15 ปี
- รวมถึงผู้ที่เลิกบุหรี่มาน้อยกว่า 15 ปี
สำหรับประชาชนทั่วไป สามารถตรวจ เอกซเรย์ปอดประจำปี (Chest X-ray) เพื่อคัดกรองสุขภาพปอดเบื้องต้นได้
คำแนะนำการป้องกัน PM 2.5 จากราชวิทยาลัยอายุรแพทย์ (ประกาศ 10 มีนาคม 2566)
เพื่อให้ประชาชนรับมือกับช่วงที่ค่าฝุ่นสูงได้อย่างถูกต้อง คำแนะนำจากราชวิทยาลัยอายุรแพทย์ร่วมกับอีก 5 สมาคมวิชาชีพ ได้แบ่งระดับความรุนแรงและแนวทางปฏิบัติไว้ดังนี้
ระดับค่าฝุ่น PM 2.5 และวิธีปฏิบัติ
ระดับ 1 มากกว่า 50 µg/m³
- กลุ่มเสี่ยง งดกิจกรรมกลางแจ้ง
- บุคคลทั่วไป ลดระยะเวลาทำกิจกรรมนอกบ้าน และควรสวมหน้ากากอนามัย
ระดับ 2 มากกว่า 100 µg/m³
- ทุกคนควรงดกิจกรรมกลางแจ้ง
- หากมีความจำเป็นต้องปฏิบัติงานกลางแจ้ง ควรสวมหน้ากาก N95 ตลอดเวลา
ระดับ 3 มากกว่า 150 µg/m³
- ทุกคนควรอยู่ในอาคารที่มีระบบกรองอากาศมีประสิทธิภาพ
- ผู้ที่ต้องทำงานกลางแจ้งให้สวม N95 และจำกัดการทำงานไม่เกิน 60 นาทีต่อครั้ง
ข้อแนะนำเพิ่มเติม
- ตรวจสอบคุณภาพอากาศจากแอปฯ หรือเว็บไซต์ก่อนออกจากบ้าน
- ขณะอยู่ในอาคารควรเปิดเครื่องฟอกอากาศหรือเพิ่มการระบายอากาศให้เหมาะสม
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อช่วยให้ร่างกายขับฝุ่นออกทางไต
- กินผักผลไม้เพียงพอ เพื่อเสริมระบบแอนติออกซิแดนท์
- ออกกำลังกายในร่ม เพื่อลดการรับฝุ่นขณะสูดหายใจ
ฝุ่น PM 2.5 จะยังอยู่กับเรา—ทำอย่างไรให้ปลอดภัยในระยะยาว
สถานการณ์ PM 2.5 ในประเทศไทยเกิดขึ้นซ้ำทุกปี โดยเฉพาะช่วงปลายฤดูหนาวก่อนเข้าฤดูร้อน (มกราคม–กุมภาพันธ์) และมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นทุกปี การป้องกันจึงต้องเป็นเรื่องของ “นิสัยประจำวัน” มากกว่า “การรับมือเฉพาะช่วงวิกฤติ”
แนวทางดูแลตัวเองในระยะยาว
- พกหน้ากาก N95 ทุกครั้งที่ออกจากบ้าน
- หลีกเลี่ยงพื้นที่รถติดหรือโรงงาน
- ติดเครื่องฟอกอากาศในจุดพักอาศัย
- ตรวจสุขภาพประจำปี
- หากมีอาการผิดปกติ เช่น ไอเรื้อรัง เหนื่อยง่าย เจ็บหน้าอก ควรพบแพทย์ทันที
สรุป PM 2.5 อาจมองไม่เห็น แต่ความเสี่ยงไม่เคยหายไป
ฝุ่น PM 2.5 ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป มลพิษทางอากาศระดับนี้ส่งผลทั้งต่อสุขภาพในระยะสั้นและระยะยาว และสำคัญที่สุด คือ “เพิ่มโอกาสการเกิดมะเร็งปอด” แม้ในผู้ที่ไม่สูบบุหรี่
ในโลกที่อากาศไม่ได้ปลอดภัยเหมือนเดิม การป้องกันตัวเองคือเกราะป้องกันที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการสวมหน้ากาก N95 การตรวจสอบคุณภาพอากาศ การดูแลสุขภาพผ่านการกิน การออกกำลังกาย และการตรวจร่างกายอย่างสม่ำเสมอ
สุขภาพปอดของเราเป็นสิ่งที่ประเมินค่าไม่ได้ และไม่มีใครดูแลแทนเราได้เท่าตัวเอง
ถ้ารู้ทันฝุ่น เราก็ลดความเสี่ยงต่อโรคร้ายได้อย่างมาก
ขอขอบคุณที่มา : ร่างกายรับ PM 2.5 เสี่ยงก่อโรคมะเร็งปอด
