การเตรียมความพร้อมของพนักงานขับรถก่อนปฏิบัติงาน
การขับรถเพื่อการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นรถบรรทุก รถส่งของ รถเครน รถบัส หรือรถบริการใด ๆ ถือเป็นกิจกรรมที่มีความเสี่ยงสูงเสมอ การเคลื่อนที่ของยานพาหนะในพื้นที่โรงงาน ถนนหลวง หรือพื้นที่ชุมชน ล้วนมีโอกาสเกิดเหตุได้ทุกวินาทีหากคนขับไม่พร้อม ร่างกายไม่พร้อม หรือสภาพรถไม่พร้อม หลายครั้งอุบัติเหตุไม่ได้เกิดจากความประมาทเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากปัจจัยสะสมที่มองไม่เห็น เช่น ความเครียด ความอ่อนล้า ความดันสูง หรือแม้แต่การอ่านป้ายเตือนผิดเพราะใจลอยเพียงเสี้ยววินาที
องค์กรที่มีพนักงานขับรถจึงต้องสร้างระบบเฝ้าระวัง ดูแล และตรวจสอบความพร้อมของคนขับอย่างเข้มข้น เพราะ “รถดีแค่ไหน ก็ไม่ช่วยอะไร ถ้าคนขับไม่พร้อม” เซฟตี้อินไทย จึงรวบรวมแนวทางการเตรียมความพร้อมของพนักงานขับรถก่อนปฏิบัติงาน 6 ขั้นตอน เพื่อนำไปใช้ในการอบรม การทำโปสเตอร์ หรือใช้เป็นแนวปฏิบัติประจำวันขององค์กรได้จริง
การเตรียมความพร้อมของพนักงานขับรถก่อนปฏิบัติงาน
ขั้นตอนที่ 1 สำรวจการแต่งกายและบุคลิกภาพของตนเอง
ก่อนที่พนักงานจะขึ้นรถ สิ่งแรกที่ต้องทำคือการยืนหน้ากระจก ตรวจสอบตั้งแต่หัวจรดเท้า การแต่งกายที่ไม่เรียบร้อย เช่น เสื้อสะบัด กางเกงหลวม รองเท้าไม่รัดส้น หรือเสื้อกั๊กสะท้อนแสงไม่ติดกระดุมล้วนเป็นอันตราย เพราะอาจไปเกี่ยวพวงมาลัย คันเกียร์ หรืออุปกรณ์ขณะขับขี่ได้ นอกจากนี้ยังต้องตรวจสอบบุคลิกภาพ เช่น ความสดชื่น ท่าทางเดิน สายตา และอาการง่วงงุนที่อาจเกิดขึ้นจากการพักผ่อนไม่พอ
เพียงแค่สำรวจตัวเองอย่างจริงจัง สามารถลดอุบัติเหตุได้อย่างมาก พนักงานที่แต่งกายถูกต้อง ชุดไม่หลุดลุ่ย หมวกนิรภัยและเสื้อกั๊กพร้อมใช้งาน แปลว่าเขาอยู่ในสภาวะที่มีสติรับรู้ต่อสิ่งรอบตัว เหมาะกับงานที่ต้องระวังเช่นการขับรถที่ต้องใช้สมาธิสูงตลอดเวลา ในหลายองค์กร การตรวจความเรียบร้อยของชุดยังเป็นหนึ่งในรายการตรวจรับงานประจำวัน ดังนั้น หัวหน้างานควรสังเกตและเตือนพนักงานอย่างสม่ำเสมอ
ขั้นตอนที่ 2 อ่านและทำความเข้าใจข่าวสารด้านความปลอดภัย
พนักงานขับรถหลายคนมักคิดว่าการขับรถมีเพียงสัญชาตญาณและประสบการณ์ก็เพียงพอ แต่ในความเป็นจริง ข้อมูลด้านความปลอดภัยรายวัน เช่น เส้นทางที่ปิดซ่อมถนน พื้นที่เกิดเหตุบ่อย จุดอับทัศนวิสัย หรืออากาศแปรปรวน เป็นข้อมูลที่จำเป็นมากต่อผู้ขับรถองค์กร
พนักงานควรศึกษา ประกาศจากทางบริษัทเพื่อรับข่าวสารความปลอดภัยก่อนเริ่มงาน รายงานเหล่านี้ช่วยให้คนขับรู้ว่าจุดไหนต้องชะลอ จุดไหนต้องหลีกเลี่ยง หรือมีข้อแนะนำพิเศษเกี่ยวกับรถแต่ละประเภท หลายที่มีการติดประกาศสำหรับผู้ขับรถให้ตรวจเช็กด่านตรวจสุรา ข่าวอุบัติเหตุของพนักงานรุ่นก่อน ๆ รวมถึงการแจ้งเตือนเกี่ยวกับการง่วงหลับบนพวงมาลัย
การอ่านข่าวสารความปลอดภัยไม่ใช่แค่การรับรู้ข้อมูล แต่ช่วยปรับ Mindset ให้คนขับเข้าโหมด “พร้อมทำงาน”
ขั้นตอนที่ 3 ตรวจวัดความดันโลหิต
หลายอุบัติเหตุของคนขับรถเกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว เช่น วูบหมดสติ หายใจติดขัด หรือเจ็บหน้าอก ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับโรคประจำตัวหรือความดันโลหิตสูงโดยที่ผู้ขับเองก็ไม่รู้ตัว การตรวจวัดความดันก่อนทำงานจึงเป็นวิธีป้องกันเหตุร้ายที่เกิดขึ้นทันทีได้ดีที่สุด
พนักงานนั่งตรวจความดันกับพยาบาล การตรวจนี้ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที แต่ช่วยคัดกรองความผิดปกติ เช่น ความดันสูงเกินมาตรฐาน หรือชีพจรเต้นผิดปกติ องค์กรที่มีระบบดี มักกำหนดเกณฑ์ เช่น หากค่าความดันสูงกว่าเกณฑ์ต้องพัก ห้ามขับ จนกว่าร่างกายจะกลับมาปกติหรือพบแพทย์ หลายเหตุการณ์บนถนนเกิดจาก “ความเครียดสะสม + ความดันสูง” จนสมองล้าหรือวูบ ซึ่งเป็นสัญญาณอันตรายที่ไม่ควรมองข้าม
คนขับรถที่รับผิดชอบสินค้า เครื่องจักร หรือชีวิตผู้โดยสารจำนวนมากต้องเอาเรื่องสุขภาพจริงจังพอ ๆ กับเรื่องการควบคุมรถ เพราะความดันสูงไม่บอกล่วงหน้า แต่สร้างความเสียหายอย่างคาดไม่ถึง
ขั้นตอนที่ 4 ตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์
พนักงานเป่าลมหายใจลงเครื่องตรวจแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นขั้นตอนมาตรฐานในหลายองค์กร โดยเฉพาะโรงงานที่มีรถฟอร์คลิฟท์ รถบรรทุก หรือรถขนส่งสารเคมี การตรวจแอลกอฮอล์ก่อนเริ่มงานสามารถขจัดความเสี่ยงได้มหาศาล เพราะแม้ระดับแอลกอฮอล์เพียงเล็กน้อยก็ทำให้สมาธิลดลง การตัดสินใจช้าลง และมองระยะผิดเพี้ยนได้
องค์กรควรมีเครื่องตรวจแอลกอฮอล์ที่ได้มาตรฐานและบันทึกข้อมูลทุกครั้ง เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ เช่น การชนในโรงงาน การชนรถชาวบ้าน หรือการพลิกคว่ำกลางทาง การตรวจนี้ไม่ใช่การจับผิด แต่คือการพิสูจน์ว่าพนักงานอยู่ในสภาพที่ปลอดภัยเพียงพอสำหรับการควบคุมยานพาหนะ
ระบบตรวจแอลกอฮอล์รายวันยังช่วยให้พนักงานปรับพฤติกรรม เช่น ไม่ดื่มก่อนเข้างาน ไม่ดื่มหนักในวันหยุดก่อนทำงานเช้าวันจันทร์ เพราะรู้ว่าต้องตรวจทุกครั้งก่อนเริ่มงาน ส่งผลให้อัตราอุบัติเหตุลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
ขั้นตอนที่ 5 ทดสอบปฏิกิริยาโต้ตอบของร่างกาย
การทดสอบ Reaction Time ว่าพนักงานมีความตื่นตัวเพียงพอหรือไม่ การทดสอบนี้วัดความเร็วในการกดปุ่มตอบสนองต่อสัญญาณ ทั้งเสียง แสง หรือภาพกระตุ้น ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สำคัญมากในการขับรถ เพราะการกะระยะเบรก การหักหลบ หรือการตัดสินใจระหว่างขับรถขึ้นอยู่กับความไวของระบบประสาทส่วนกลาง
พนักงานที่ง่วงหลับ สมองล้า หรือพักผ่อนไม่พอมักได้ผลคะแนนช้านานผิดปกติ ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนว่าไม่ควรให้เขาขับรถโดยเด็ดขาด ระบบนี้ช่วยคัดกรองพนักงานที่เหนื่อยสะสม แม้ว่าเขาจะบอกว่าตนเอง “ไหว” แต่ข้อมูลจากเครื่องจะชี้ชัดว่าร่างกายตอบสนองได้จริงหรือไม่
การทดสอบนี้เป็นเหมือนการเตือนตัวเองให้เข้าสู่โหมดงาน ช่วยดึงสมาธิกลับมาให้พร้อมก่อนขึ้นรถ และเป็นการประเมินความเสี่ยงที่สำคัญมาก โดยเฉพาะงานที่ต้องขับรถระยะไกล งานกลางคืน หรือการขับรถในจุดเสี่ยง เช่น พื้นที่ลาดชันหรือระหว่างเครื่องจักรหนัก
ขั้นตอนที่ 6 สรุปสภาพความพร้อมก่อนอนุญาตให้ขับรถ
พนักงานยื่นเอกสารตรวจประจำวันให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบก่อนอนุมัติ เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด เพราะ “ทุกข้อมูลจากขั้นตอนก่อนหน้า” จะถูกรวมและสรุปว่าพนักงานอยู่ในสภาวะปลอดภัยหรือไม่ การอนุมัติขับรถควรอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลจริง ไม่ใช่ความรู้สึก
เงื่อนไขสำคัญ
- ผ่านการทดสอบทุกอย่างครบถ้วน
- ไม่มีแอลกอฮอล์ในร่างกาย
- ไม่มีอาการป่วย ง่วง ซึม หรือมึนงงที่อาจเป็นอันตราย
ความพร้อมทำให้องค์กรมีระบบควบคุมก่อนเกิดเหตุที่ชัดเจน ลดความเสี่ยงจากความประมาทหรือการปล่อยผ่าน เพราะเพียง “คนขับไม่พร้อมหนึ่งคน” อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุที่มีค่าใช้จ่ายมากกว่าหลายแสนบาท และอาจสูญเสียชีวิตของเพื่อนร่วมงานหรือผู้ใช้ถนนรายอื่น
สรุป
ทั้ง 6 ขั้นตอนนี้ไม่ได้ทำเพื่อความยุ่งยากหรือเพิ่มเอกสารให้พนักงาน แต่เป็นกลไกป้องกันอุบัติเหตุเชิงรุก เพราะอุบัติเหตุบนถนนเกิดขึ้นง่ายมาก แม้เราจะขับดี แต่ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ เช่น ผู้ใช้ถนนคนอื่น สภาพถนน หรืออากาศ การตรวจสภาพร่างกายก่อนเริ่มงานจึงเป็นเหมือนเกราะป้องกันชั้นแรกให้คนขับรถ
พนักงานขับรถ คือ ฟันเฟืองสำคัญขององค์กร การขนส่งสินค้าปลอดภัย หมายถึง องค์กรมีภาพลักษณ์ที่ดี ลูกค้าเชื่อมั่น และไม่มีความสูญเสียที่ไม่จำเป็น ทุกองค์กรจึงควรให้ความสำคัญกับระบบตรวจความพร้อมก่อนปฏิบัติงานอย่างยิ่ง
เซฟตี้อินไทย สนับสนุนให้ทุกสถานประกอบการสร้างมาตรฐานความปลอดภัยตั้งแต่ก่อนพนักงานสตาร์ทรถ เพื่อให้ทุกคนกลับบ้านอย่างปลอดภัยในทุกวัน และลดอุบัติเหตุบนท้องถนนอย่างยั่งยืน



