จป.ขอเตือนพลุ ประทัด ดอกไม้ไฟ เสี่ยงบาดเจ็บและพิการ
ในทุกช่วงเทศกาลของไทย โดยเฉพาะ ลอยกระทงและปีใหม่ เสียงพลุและประทัดที่ดังสนั่นกลางคืน ดูเหมือนจะเป็นส่วนหนึ่งของความสุข ความสนุก และสีสันของงานประเพณีที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ
แต่ท่ามกลางความสวยงามของแสงไฟที่ระเบิดกลางฟ้า หรือเสียงดังที่เรียกเสียงหัวเราะจากเด็ก ๆ — สิ่งเหล่านี้กลับซ่อน “ภัยเงียบ” ที่หลายคนมองข้าม
หลายปีที่ผ่านมา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข และ สำนักงานความปลอดภัยในการทำงาน (จป.) ได้ออกมาเตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า
“พลุ ประทัด และดอกไม้ไฟ” คือสิ่งที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิด บาดเจ็บรุนแรง พิการ และเสียชีวิต
โดยเฉพาะในเด็กและวัยรุ่น ซึ่งมักมองว่าสิ่งเหล่านี้คือ “ของเล่นที่สนุก” มากกว่า “วัตถุระเบิดอันตราย”
พลุ ประทัด ดอกไม้ไฟ ความสวยงามที่มาพร้อมความเสี่ยง
พลุ ประทัด และดอกไม้ไฟ มีส่วนประกอบหลักคือ ดินปืนหรือสารเคมีไวไฟ ซึ่งสามารถจุดติดหรือระเบิดได้อย่างรุนแรง
แม้ในปริมาณเพียงเล็กน้อย แต่ก็สามารถสร้างแรงดันมหาศาลที่ทำลายอวัยวะได้ภายในเสี้ยววินาที
ตัวอย่าง พลุ ประทัด ดอกไม้ไฟ ที่พบได้บ่อย เช่น
- พลุระเบิดก่อนถึงระยะปลอดภัย ทำให้มือหรือหน้าได้รับแรงระเบิดโดยตรง
- ประทัดที่จุดแล้วไม่ติด แต่ผู้เล่นเข้าไปดูใกล้ ๆ แล้วเกิดระเบิดทันที
- ดอกไม้ไฟล้มใส่คนหรือบ้านเรือน ก่อให้เกิดเพลิงไหม้
- เด็กเก็บดินปืนจากประทัดมาผสมเล่น เกิดระเบิดในมือ
แม้เหตุการณ์เหล่านี้จะฟังดู “เหมือนเรื่องไกลตัว” แต่ทุกปีในช่วงเทศกาลลอยกระทงและปีใหม่ โรงพยาบาลทั่วประเทศจะมีรายงานผู้บาดเจ็บจากพลุและประทัดจำนวนมาก และหลายรายต้องสูญเสียอวัยวะไปตลอดชีวิต
ข้อมูลสถิติชี้ชัด อวัยวะที่ได้รับบาดเจ็บรุนแรงที่สุด
จากรายงานของ ระบบเฝ้าระวังการบาดเจ็บ กรมควบคุมโรค พบว่า
- 36.6% ของผู้บาดเจ็บ ได้รับอาการรุนแรงที่ ข้อมือและมือ
- 17% ของผู้บาดเจ็บ มีอาการที่ ศีรษะและใบหน้า
- ส่วน ลักษณะบาดแผล ที่พบบ่อยที่สุดคือ
- แผลเปิดที่ศีรษะ 42.1%
- บาดเจ็บที่ตา 26.3%
นั่นหมายความว่าเกือบครึ่งหนึ่งของผู้บาดเจ็บจะมีแผลที่ศีรษะหรือใบหน้า ซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญและยากต่อการรักษาให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม นอกจากนี้ยังมีหลายกรณีที่ดวงตาถูกแรงระเบิดทำลายจนสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวร
เด็กคือกลุ่มเสี่ยงอันดับหนึ่ง
ทุกปี เด็กและเยาวชนคือกลุ่มที่ได้รับบาดเจ็บจากการเล่นพลุและประทัดมากที่สุด
เพราะขาดความเข้าใจในอันตราย และมักเรียนรู้จากการเห็นผู้ใหญ่เล่นให้ดู หรือซื้อให้เล่นในงานวัด
จป. (เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน) ได้ให้ข้อแนะนำไว้ว่า
- ไม่ควรให้เด็กจุดพลุหรือประทัดด้วยตนเอง
- ไม่ควรยืนใกล้บริเวณที่มีการจุด
- ควรสอนให้เข้าใจว่า “ไม่ใช่ของเล่น” แม้จะดูสวยงาม แต่เป็นสิ่งที่อาจทำให้ตาบอดหรือเสียชีวิตได้
นอกจากนี้ การ “เก็บพลุและประทัดไว้ในบ้าน” ก็เป็นพฤติกรรมเสี่ยงสูง เพราะเพียงมีความร้อนหรือประกายไฟเล็กน้อย ก็สามารถระเบิดได้อย่างคาดไม่ถึง โดยเฉพาะในบ้านที่มีเด็กเล็กหรือสัตว์เลี้ยง
พลุในมุมมองของวิศวกรรมความปลอดภัย
หากมองในแง่วิศวกรรมการป้องกันอุบัติเหตุ พลุและประทัดจัดอยู่ในกลุ่ม “วัตถุระเบิดจำพวก 1”
ซึ่งต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของ กรมโยธาธิการและผังเมือง และกรมการปกครอง
รวมถึงมีระเบียบชัดเจนเรื่องการขออนุญาตนำเข้า ผลิต จำหน่าย และการแสดงพลุในงานต่าง ๆ
การจุดพลุในงานเทศกาลใหญ่ ๆ เช่น ลอยกระทงหรืองานเฉลิมฉลองขององค์กร มักต้องมี
- ผู้ควบคุมที่ได้รับใบอนุญาต
- เขตปลอดภัยรัศมีไม่ต่ำกว่า 50 เมตร
- การประสานเจ้าหน้าที่ดับเพลิงหรือกู้ภัยประจำจุด
แต่ในความเป็นจริง คนทั่วไปมักละเลยมาตรการเหล่านี้ โดยคิดว่า “แค่พลุเล็ก ๆ ไม่อันตราย”
ซึ่งในทางฟิสิกส์แล้ว พลุเล็ก ๆ ขนาดเท่ากล่องไม้ขีดไฟ ก็สามารถสร้างแรงระเบิดมากพอจะทำให้กระดูกมือแตกได้ทันที
ความเข้าใจผิดที่พบบ่อย
- “พลุเล็กไม่เป็นไร” — ผิดครับ! พลุขนาดเล็กบางชนิดใช้ดินปืนเข้มข้นกว่าดอกไม้ไฟขนาดใหญ่เสียอีก
- “ถ้าจุดไม่ติด แค่เข้าไปดูใกล้ ๆ ก็พอ” — อันตรายมาก เพราะอาจยังมีไฟค้างอยู่ในไส้ และจะระเบิดในเสี้ยววินาที
- “เก็บไว้จุดวันหลังได้” — การเก็บพลุหรือประทัดไว้นาน อาจทำให้สารเคมีเสื่อม เกิดการจุดติดไม่สม่ำเสมอและระเบิดไม่คาดคิด
- “ซื้อให้ลูกเล่นเพราะเขาขอ” — ความรักที่ขาดความระมัดระวังอาจกลายเป็นความเสียใจตลอดชีวิต
ประเพณีไทยกับความปลอดภัย — เดินคู่กันได้
ลอยกระทงเป็นประเพณีที่งดงามและมีความหมายทางจิตใจ
การจุดพลุเพื่อเฉลิมฉลองอาจดูสนุก แต่ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นต่อการสืบสานวัฒนธรรม
ในอดีต ชาวบ้านมักใช้ โคมลอย หรือ จุดเทียนลอยน้ำ เพื่อบูชาพระแม่คงคา
แต่ปัจจุบันพฤติกรรมการเล่นพลุกลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของไฟไหม้ บ้านเสียหาย และคนบาดเจ็บนับร้อยราย
หากต้องการสร้างความสุขในเทศกาลโดยไม่เสี่ยง จป. แนะนำกิจกรรมทางเลือก เช่น
- จุดเทียนลอยน้ำแทนพลุ
- ใช้ไฟเย็น (sparkler) ที่ปลอดภัยกว่า
- ร่วมกิจกรรมลอยกระทงปลอดภัยในชุมชน ที่มีเจ้าหน้าที่ดูแล
- ถ่ายรูปไฟสวย ๆ แทนการจุดเอง — ปลอดภัย แถมยังได้แชร์บนโซเชียลอย่างมีสไตล์!
หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด ต้องทำอย่างไร
หากมีผู้ได้รับบาดเจ็บจากการระเบิดของพลุหรือประทัด ควรปฏิบัติดังนี้ทันที
- อย่าตกใจและอย่าขยับผู้บาดเจ็บโดยไม่จำเป็น
- หากมีเลือดออก ให้ใช้ผ้าสะอาดกดแผลไว้
- ห้ามล้างแผลด้วยน้ำหรือยาฆ่าเชื้อโดยไม่จำเป็น โดยเฉพาะแผลไหม้
- หากมีกระเดื่องไฟ หรือเศษพลุฝังในร่างกาย ห้ามดึงออกเองเด็ดขาด
- รีบนำส่งโรงพยาบาลทันที และแจ้งเจ้าหน้าที่ให้ทราบว่าเป็นอุบัติเหตุจากวัตถุระเบิด
บทเรียนจากเหตุการณ์จริง
มีหลายกรณีในประเทศไทยที่เด็กและผู้ใหญ่ได้รับบาดเจ็บจากการเล่นพลุหรือประทัด เช่น
- เด็กชายวัย 12 ปีจุดประทัดลูกโซ่ที่ตลาดในวันลอยกระทง ประทัดไม่ติด จึงเข้าไปดูใกล้ ๆ แล้วระเบิดใส่หน้า สูญเสียดวงตาทั้งสองข้าง
- วัยรุ่นในจังหวัดภาคอีสานนำดินปืนจากพลุมาผสมเล่น ระเบิดใส่มือจนต้องตัดแขนทิ้ง
- บ้านหลังหนึ่งในภาคเหนือถูกไฟไหม้จากพลุที่ล้มระหว่างจุดในงานลอยกระทง
ทุกเหตุการณ์มีจุดร่วมคือ “คิดว่าไม่เป็นไร” และ “อยากให้สนุกเหมือนในโฆษณา”
แต่ผลลัพธ์กลับกลายเป็นความสูญเสียที่ไม่มีใครอยากให้เกิด
บทบาทของหน่วยงานรัฐและชุมชน
ทุกปี หน่วยงานรัฐ เช่น
- กรมควบคุมโรค
- กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.)
- สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
- กรมโยธาธิการและผังเมือง
จะมีมาตรการเข้มงวดในการควบคุมการจำหน่ายและจุดพลุในพื้นที่สาธารณะ
แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ ความร่วมมือของประชาชนและชุมชน เพราะต่อให้มีกฎหมาย หากคนยังละเลยความปลอดภัย การรณรงค์ก็ไร้ผล ผู้นำชุมชนควรช่วยกันจัดกิจกรรม “ลอยกระทงปลอดภัย”ให้ทุกคนได้ร่วมสนุกโดยไม่ต้องพึ่งเสียงระเบิดหรือแสงไฟอันตราย
ข้อคิดจาก จป.
“ความปลอดภัยไม่ได้เกิดจากการบังคับ แต่เกิดจากการตระหนักรู้”
จป. ทุกคนมีหน้าที่ไม่เพียงแค่ดูแลความปลอดภัยในโรงงานหรือสถานที่ทำงาน แต่ยังต้องเป็น กระบอกเสียงให้ประชาชนเข้าใจเรื่องความปลอดภัยในชีวิตประจำวัน ด้วยเทศกาลที่ดี ควรมาพร้อมกับความสุข ไม่ใช่เสียงร้องไห้หรือเสียงไซเรนของรถพยาบาล
พลุและประทัดอาจให้ความตื่นเต้นชั่วขณะ แต่บาดแผลที่เกิดขึ้นอาจอยู่ไปชั่วชีวิต
สรุป
เทศกาลลอยกระทงคือช่วงเวลาแห่งการขอขมาพระแม่คงคา ปล่อยทุกข์ ปล่อยโศก และเริ่มต้นสิ่งดี ๆ ดังนั้น หากเราจะ “ปล่อย” อะไรขึ้นฟ้า ก็ควรเป็น รอยยิ้มและความสุข ไม่ใช่สะเก็ดไฟจากพลุที่อาจเปลี่ยนรอยยิ้มเป็นคราบน้ำตา หรือหากอยากลอยกระทงแบบปลอดภัย 100% เซฟตี้อินไทยขอเชิฯทุกท่านมาลอยกระทงกับเรา คลิกที่นี่เพื่อลอยกระทงออนไลน์
