ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ชื่อหรืออาการสำคัญของโรคจากสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๖๘
โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ชื่อหรืออาการสำคัญของโรคจากสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๖๓ ลงวันที่ ๒๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๓ และประกาศกระทรวงสาธารณสุขเรื่อง ชื่อหรืออาการสำคัญของโรคจากสิ่งแวดล้อม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๕ ลงวันที่ ๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๕ เพื่อประโยชน์ในการเฝ้าระวัง การป้องกัน และการควบคุมโรคจากสิ่งแวดล้อม
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕ วรรคหนึ่ง และมาตรา ๗ (๑) แห่งพระราชบัญญัติควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๖๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขโดยคำแนะนำของคณะกรรมการควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อม จึงออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ประกาศนี้เรียกว่า "ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ชื่อหรืออาการสำคัญของโรคจากสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๖๘"
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ ๓ ให้ยกเลิกประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ชื่อหรืออาการสำคัญของโรคจากสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๖๓ ลงวันที่ ๒๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๓ และประกาศกระทรวงสาธารณสุข
เรื่อง ชื่อหรืออาการสำคัญของโรคจากสิ่งแวดล้อม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๕ ลงวันที่ ๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๕
ข้อ ๔ กำหนดให้โรคหรืออาการสำคัญดังต่อไปนี้เป็นโรคจากสิ่งแวดล้อม
(๑) โรคหรืออาการที่เกิดจากตะกั่วหรือสารประกอบของตะกั่ว หมายถึง โรคหรืออาการผิดปกติ
ที่เกิดขึ้นจากหรือเป็นผลเนื่องมาจากมลพิษที่มีตะกั่วหรือสารประกอบของตะกั่ว ทั้งนี้ ต้องไม่เกิดจากโรคหรือภาวะอื่นใดที่มีลักษณะอาการคล้ายคลึงกัน โดยมีอาการสำคัญ ดังต่อไปนี้
(๑.๑) กรณีบุคคลที่มีอายุต่ำกว่าสิบห้าปีบริบูรณ์ จะมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหารจะมีภาวะซีด สมาธิสั้น พัฒนาการช้า ปวดท้องรุนแรงเป็นพัก ๆ ซึม ชัก หรือหมดสติ
(๑.๒) กรณีหญิงตั้งครรภ์ จะมีภาวะซีด ภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ หรือภาวะคลอดก่อนกำหนด ทารกแรกคลอดมีน้ำหนักน้อย
(๒) โรคหรืออาการที่เกิดจากการสัมผัสฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน ๒.๕ ไมครอน หมายถึง โรคหรืออาการผิดปกติที่เกิดขึ้นจากหรือเป็นผลเนื่องมาจากมลพิษที่มีฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน ๒.๕ ไมครอนเกินกว่ามาตรฐานตามที่กฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติหรือกฎหมายว่าด้วยโรงงานกำหนด ทั้งนี้ ต้องไม่เกิดจากโรคหรือภาวะอื่นใดที่มีลักษณะอาการคล้ายคลึงกันโดยมีอาการสำคัญ ดังต่อไปนี้
(๒.๑) หอบเหนื่อยมากขึ้นกว่าปกติ ไอมากขึ้นกว่าปกติ มีปริมาณเสมหะมากขึ้นกว่าปกติเสมหะเปลี่ยนสี อันอาจเป็นอาการของโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังที่มีการกำเริบเฉียบพลัน (Chronic obstructive pulmonary disease with (acute) exacerbation)
(๒.๒) ไอ แน่นหน้าอก หายใจมีเสียงหวีด หอบเหนื่อย อันอาจเป็นอาการของโรคหืดเฉียบพลัน(Acute asthma) ทั้งนี้ อาการดังกล่าวอาจหายได้เองหรืออาจหายได้เมื่อได้รับยาขยายหลอดลม
(๒.๓) เจ็บเค้นที่บริเวณอกอย่างรุนแรงเฉียบพลันหรือขณะพักเป็นระยะเวลานานกว่ายี่สิบนาที ซึ่งอาจเพิ่งมีอาการดังกล่าวหรือมีอาการรุนแรงขึ้น ใจสั่น เหงื่อออก เหนื่อยมากขึ้นกว่าปกติขณะออกแรง วิงเวียนหน้ามืด อาจถึงขั้นหมดสติ หรืออาจถึงขั้นเสียชีวิต อันอาจเป็นอาการของโรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน (Acute ischemic heart diseases) หรือโรคภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันที่เกิดขึ้นหลังจากพบภาวะหัวใจขาดเลือด (Subsequent ST elevation (STEMI) and non-STelevation (NSTEMI) myocardial infarction)
(๒.๔) ตาแดง แสบตา เคืองตา น้ำตาไหลมาก คันตา มีสารคัดหลั่งออกจากตาหรือมีขี้ตา (Ocular discharge) อันอาจเป็นอาการของโรคเยื่อบุตาอักเสบ (Conjunctivitis) หรือแสบตา เคืองตาน้ำตาไหล คันตา ตาแห้ง ตาสู้แสงไม่ได้ ตามัวลง มีสารคัดหลั่งออกจากดวงตาหรือมีขี้ตา ตาแดง มีแผลถลอกที่กระจกตาหรือเยื่อบุตา อันอาจเป็นอาการของโรคกระจกตาอักเสบ (Keratoconjunctivitis) หรือแสบตา เคืองตา น้ำตาไหล อันอาจเป็นอาการของโรคตาแห้ง (Dry eye disease)
(๒.๕) ผิวหนังมีผื่นแดง คัน ตุ่มแดง ตุ่มน้ำ หรือมีขุยร่วมด้วย อันอาจเป็นอาการของโรคผื่นผิวหนังอักเสบ (Eczema) หรือผิวหนังมีผื่นบวมนูนแดง (Wheal and flare) อันอาจเป็นอาการของโรคผื่นลมพิษ (Urticaria)
(๓) โรคหรืออาการที่เกิดจากรังสีแตกตัวหรือจากรังสีชนิดก่อไอออน หมายถึง โรคหรืออาการผิดปกติที่เกิดขึ้นจากหรือเป็นผลเนื่องมาจากมลพิษที่ได้รับหรือสัมผัสรังสีแตกตัวหรือรังสีชนิดก่อไอออน ทั้งนี้ต้องไม่เกิดจากโรคหรือภาวะอื่นใดที่มีลักษณะอาการคล้ายคลึงกัน โดยมีอาการสำคัญ ดังต่อไปนี้
(๓.๑) กรณีที่มีอาการผิดปกติเฉียบพลันจากรังสี (Acute Radiation Syndrome; ARS)มี ๓ กลุ่มอาการ ได้แก่ กลุ่มอาการทางระบบโลหิต (Hematopoietic type) จะมีอาการอ่อนเพลียไม่มีแรง มีไข้ เลือดออกง่ายและหยุดยาก หรือกลุ่มอาการระบบทางเดินอาหาร (Gastrointestinal type)จะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ปวดท้อง ท้องเสีย ถ่ายเป็นเลือด หรือกลุ่มอาการระบบประสาทส่วนกลาง (Neurovascular type) จะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ภาวะรู้คิดบกพร่องระดับความรู้สึกตัวลดลง และอาจถึงขั้นเสียชีวิต
(๓.๒) กรณีที่มีอาการบาดเจ็บเฉพาะที่จากรังสี (Local Radiation Injury; LRI)จะมีอาการผมร่วง อาการบาดเจ็บทางผิวหนัง (Cutaneous Radiation Injury; CRI) อาการผื่นแดง มีตุ่มน้ำ หรือบาดแผลตามผิวหนังหรือผิวหนังไหม้บริเวณที่สัมผัสกับรังสี และอาจถึงขั้นเสียชีวิต
(๓.๓) กรณีที่มีอาการที่เกิดในระยะยาว (Late effect) โดยจะเป็นผลข้างเคียงที่ไม่ขึ้นกับปริมาณรังสีที่ได้รับ ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาวเนื้องอกในสมอง เป็นต้น กรณีหญิงตั้งครรภ์เป็นผู้สัมผัส อาจมีความผิดปกติทางพันธุกรรมหรือระบบสืบพันธุ์ แท้ง และทารกในครรภ์อาจมีความผิดปกติทางร่างกายหรือทางพันธุกรรม
ประกาศ ณ วันที่ ๑๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๘
พัฒนา พร้อมพัฒน์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
วัตถุประสงค์ของประกาศ
ประกาศฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อ ปรับปรุงและแทนที่ประกาศเดิม (พ.ศ. ๒๕๖๓ และฉบับที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๖๕) ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยมีเป้าหมายเพื่อให้เกิด ประสิทธิภาพในการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคจากสิ่งแวดล้อม ภายใต้พระราชบัญญัติควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๖๒
วันที่มีผลบังคับใช้
- มีผลตั้งแต่ วันถัดจากวันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
- และ ยกเลิกประกาศฉบับเดิมทั้งหมด
โรคหรืออาการสำคัญที่จัดเป็นโรคจากสิ่งแวดล้อม
ประกาศกำหนดให้มี 3 กลุ่มหลัก ดังนี้
1. โรคจากตะกั่วหรือสารประกอบของตะกั่วสาเหตุ การได้รับสารตะกั่วจากมลพิษในสิ่งแวดล้อม
อาการสำคัญ
- เด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี: อ่อนเพลีย ซีด เบื่ออาหาร พัฒนาการช้า ปวดท้องเป็นพัก ๆ สมาธิสั้น หรืออาจถึงขั้นชัก หมดสติ
- หญิงตั้งครรภ์: ภาวะซีด ความดันสูงขณะตั้งครรภ์ คลอดก่อนกำหนด หรือทารกน้ำหนักน้อย
2. โรคจากฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5)สาเหตุ: การได้รับฝุ่น PM2.5 เกินค่ามาตรฐานตามกฎหมายสิ่งแวดล้อมหรือโรงงาน
อาการสำคัญ
- (2.1) หอบ เหนื่อย ไอ มีเสมหะมากขึ้น → โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) กำเริบเฉียบพลัน
- (2.2) ไอ แน่นหน้าอก หายใจมีเสียงหวีด → โรคหืดเฉียบพลัน
- (2.3) เจ็บหน้าอกเฉียบพลัน เหงื่อออก ใจสั่น → โรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน (STEMI/NSTEMI)
- (2.4) แสบตา เคืองตา น้ำตาไหล → โรคเยื่อบุตาอักเสบ / กระจกตาอักเสบ / ตาแห้ง
- (2.5) ผื่นแดง คัน มีตุ่มน้ำ → โรคผื่นผิวหนังอักเสบ / ลมพิษ
3. โรคจากรังสีแตกตัวหรือรังสีชนิดก่อไอออนสาเหตุ: การได้รับหรือสัมผัสรังสีชนิดก่อไอออน (เช่น รังสีเอกซ์, รังสีแกมมา)
อาการสำคัญ
- (3.1) กลุ่มอาการเฉียบพลัน (ARS): มีไข้ เลือดออกง่าย ปวดท้อง คลื่นไส้ ท้องเสีย หรือหมดสติ
- (3.2) อาการบาดเจ็บเฉพาะที่ (LRI): ผมร่วง ผิวหนังไหม้ มีตุ่มน้ำ หรือบาดแผลรุนแรง
- (3.3) ผลกระทบระยะยาว: เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งเม็ดเลือดขาว เนื้องอกในสมอง ฯลฯหญิงตั้งครรภ์ที่สัมผัสรังสี อาจทำให้แท้ง หรือทารกพิการทางพันธุกรรม
สรุปสาระสำคัญโดยรวม
ประกาศฉบับนี้เป็นการรวมและปรับปรุงโรคจากสิ่งแวดล้อมให้สอดคล้องกับสถานการณ์มลพิษในปัจจุบัน โดยเฉพาะ ตะกั่ว ฝุ่น PM2.5 และรังสี ซึ่งเป็นภัยเงียบที่ส่งผลต่อสุขภาพคนไทยในระยะยาว ทั้งนี้เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถ เฝ้าระวัง ตรวจสอบ และดำเนินการควบคุมโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
