มาตรการป้องกันความร้อนและประกายไฟ (Hot work)
งานที่ทำให้เกิดความร้อนหรือประกายไฟ เช่น งานเชื่อมโลหะ งานตัดโลหะ งานเจียร งานบัดกรี งานอบความร้อน และงานเกี่ยวข้องกับเปลวไฟทุกรูปแบบ จัดเป็นงานที่มีความเสี่ยงสูงมาก ไม่ใช่แค่เพราะวัสดุไวไฟรอบตัวเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความเสี่ยงจากควันพิษ ไอระเหย การไหม้ลวกจากโลหะร้อน รวมถึงอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้น หากไม่มีมาตรการป้องกันอย่างเพียงพอ
หลายครั้งเหตุการณ์ไฟไหม้ใหญ่ในโรงงานเกิดขึ้นจาก “งานเชื่อมเพียงจุดเดียว” ที่ไม่มีการควบคุมอย่างถูกต้อง ประกายไฟจากงานเจียรเพียงวูบเดียวสามารถกระเด็นไปติดเศษผ้า น้ำมัน หรือฝุ่นที่ติดไฟได้ และลามในไม่กี่นาที ความเสียหายจึงอาจลุกลามเร็วเกินกว่าที่จะควบคุมได้ หากไม่มีระบบบริหารจัดการ Hot Work ที่ครอบคลุม
จึงเป็นเหตุผลว่าทำไม “Hot Work Permit” หรือใบอนุญาตทำงานความร้อนและประกายไฟ จึงเป็นมาตรการสำคัญที่ทุกหน่วยงานต้องใช้แบบเคร่งครัดก่อนเริ่มงาน
บทความนี้จะอธิบายทุกกระบวนการ ตั้งแต่ก่อนทำงาน ระหว่างทำงาน จนถึงหลังเสร็จงาน พร้อมความรู้จากงานภาคสนามของ จป. เพื่อช่วยให้ทุกองค์กรป้องกันเหตุไฟไหม้ได้จริง
ความหมายของงาน Hot Work คืออะไร?
งาน Hot Work คือ “งานที่ก่อให้เกิดความร้อน ประกายไฟ เปลวไฟ หรือก่อให้เกิดอุณหภูมิสูงจนสามารถจุดติดไฟได้” ตัวอย่างงานได้แก่
- งานเชื่อม (Welding) เช่น SMAW, TIG, MIG
- งานตัดโลหะด้วยแก๊ส (Gas Cutting)
- งานเจียร (Grinding)
- งานบัดกรี และการใช้หัวเป่าไฟ
- งานอบความร้อน (Heat Treatment)
- งานซ่อมบำรุงที่ใช้เปลวไฟหรือผลิตความร้อน
- งานที่อาจทำให้วัตถุร้อนจนจุดติด เช่น ค้อนกระแทกโลหะในพื้นที่เสี่ยง
งานเหล่านี้ถูกกำหนดว่าต้องควบคุมพิเศษ เพราะสามารถก่อให้เกิดไฟไหม้หรือระเบิดได้หากอยู่ใกล้สารไวไฟหรือพื้นที่อับอากาศ รวมถึงสถานที่ที่ไม่เหมาะสม เช่น บนคลังสินค้า พื้นที่ซ่อมบำรุงที่มีสารเคมี หรือภายนอกอาคารที่มีลมแรงเสี่ยงให้ประกายไฟกระเด็นไกล
ปัญหาที่มักพบในการทำ Hot Work และเหตุผลที่ต้องเข้มงวด
หลายองค์กรคิดว่า “งานเชื่อมก็ทำทุกวัน” จึงละเลยมาตรการเหล่านี้ โดยเฉพาะช่วงเร่งงาน ส่งผลให้เกิดเหตุไม่คาดคิด เช่น
- ประกายไฟตกค้างใต้พาเลตหรือซอกหลืบ ลุกไหม้หลังเลิกงาน
- ไม่มีผู้เฝ้าระวังไฟ ทำให้ตรวจไม่พบไฟคุกรุ่น
- ถังดับเพลิงอยู่ไกล หรือใช้ไม่ได้เพราะหมดอายุ
- ไอระเหยไวไฟไม่ถูกตรวจพบก่อนเกิดงาน
- พื้นที่ไม่ได้กั้นเขต ทำให้พนักงานอื่นเดินผ่านและได้รับอันตราย
- PPE ไม่ครบถ้วน เช่น ถุงมือไม่ทนความร้อน แว่นไม่กันสะเก็ดไฟ
- ไม่มีระบบใบอนุญาต ทำให้ไม่มีผู้อนุมัติตรวจสอบความปลอดภัย
เพียงหนึ่งข้อที่พลาด ก็เพียงพอให้เกิดไฟไหม้ระดับโรงงานได้เลย
มาตรการป้องกันงานความร้อนและประกายไฟ (Hot Work Safety Measures)
เพื่อให้การทำงาน Hot Work ปลอดภัยที่สุด เราจะใช้กรอบ 3 ขั้นตอนหลัก
- ก่อนเริ่มงาน
- ระหว่างทำงาน
- หลังเสร็จงาน
ในแต่ละขั้นตอนต้องมีจป. และผู้ควบคุมงานร่วมตรวจสอบอย่างใกล้ชิด
1) ก่อนเริ่มงาน: จุดเริ่มต้นของความปลอดภัย
การเตรียมงานก่อนเริ่มทำ Hot Work ถือเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด เพราะช่วยลดความเสี่ยงถึง 70–80% หากทำอย่างถูกต้อง
ได้รับใบอนุญาต Hot Work Permit
เป็นเอกสารอนุมัติให้เริ่มงาน โดยผู้ควบคุมและ จป. จะตรวจสอบพื้นที่ พร้อมระบุเงื่อนไข เช่น
- เวลาเริ่มและสิ้นสุดงาน
- อุปกรณ์ดับเพลิงที่ต้องมี
- ผู้เฝ้าระวังไฟ
- ประเภทงานที่อนุญาต
- ตรวจเชื้อเพลิง ไอระเหย หรือก๊าซในอากาศ
การออกใบอนุญาตทุกครั้ง ช่วยให้มีผู้รับผิดชอบชัดเจน ลดปัญหาการทำงานโดยพลการ
พื้นที่ต้องกั้นเขตชัดเจน
การกั้นพื้นที่ด้วยกรวย แถบกั้น หรือรั้วชั่วคราว ป้องกันไม่ให้ผู้ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปในโซนอันตราย และลดความเสี่ยงจากประกายไฟที่อาจกระเด็นไปไกลถึง 10 เมตร
นำวัสดุไวไฟออก หรือคลุมด้วยผ้าทนไฟ
ตัวอย่างวัสดุไวไฟที่ต้องจัดการ เช่น
- ผ้าขี้ริ้วเปื้อนน้ำมัน
- พลาสติก
- กระดาษลัง
- ถังสเปรย์
- สี, ทินเนอร์
- ไม้, พาเลต
- หากไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้ ต้องคลุมด้วยผ้ากันสะเก็ดไฟ Fire Blanket
จัดเตรียมอุปกรณ์ดับเพลิงพร้อมใช้
อย่างน้อยควรมี
- ถังดับเพลิงชนิด CO₂ หรือผงเคมีแห้ง
- ถังน้ำพร้อมสายฉีด
- ผ้าดับเพลิง
- ทราย
- และต้องตรวจสอบแรงดันถังดับเพลิงทุกครั้งก่อนใช้งาน
มีผู้เฝ้าระวังไฟ (Fire Watch) ประจำพื้นที่
ผู้เฝ้าระวังไฟ คือ คนสำคัญที่สุดระหว่างทำงาน เพราะต้องคอยสังเกตการเกิดประกายไฟ การลุกไหม้ หรือไอระเหยผิดปกติ
ผู้เฝ้าระวังไฟต้องผ่านการฝึกอบรมการใช้เครื่องดับเพลิงด้วย
ตรวจสอบระบบระบายอากาศ
ช่วยป้องกันการสะสมของไอระเหยไวไฟ เช่น ทินเนอร์ สี น้ำมัน และควันเชื่อม ไม่เช่นนั้นมีโอกาสเกิดการระเบิดหรือสำลักควันได้
ผู้ปฏิบัติงานต้องสวม PPE ครบ
- หน้ากากป้องกันควันและไอระเหย
- แว่นตานิรภัยชนิดกันสะเก็ดไฟ
- ถุงมือทนความร้อน
- ชุดกันไฟ (Fire Retardant Clothing)
- รองเท้านิรภัยแบบหุ้มส้น
- หมวกนิรภัย
มาตรฐาน PPE ที่เหมาะสมช่วยป้องกันบาดเจ็บจากสะเก็ดไฟ โลหะร้อน และรังสีเชื่อม
2) ระหว่างทำงาน ช่วงเสี่ยงที่สุด ต้องควบคุมเข้มงวด
หลังผ่านการอนุมัติแล้ว การทำงานต้องเป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยตลอดเวลา
ผู้เฝ้าระวังไฟต้องประจำตลอดเวลา
ไม่ควรละจากตำแหน่ง ไม่ควรใช้โทรศัพท์ และต้องมองเห็นพื้นที่ทำงานตลอด
ห้ามทำงานลำพัง
การทำงานแบบ Hot Work ต้องมีอย่างน้อย 2 คนเสมอ ทั้งช่างที่ทำและผู้เฝ้าระวัง เพราะหากเกิดอุบัติเหตุ เช่น เป็นลม สะเก็ดไฟไหม้เสื้อ คนข้าง ๆ ต้องช่วยได้ทันที
ตรวจสอบไม่ให้ประกายไฟกระเด็นไปยังพื้นที่เสี่ยง
ควรใช้แผ่นบังสะเก็ดไฟหรือผ้ากั้นไฟ เพื่อลดการกระเด็นไกล
ประกายไฟจากงานเจียรสามารถพุ่งได้ไกลหลายเมตร ควรตรวจพื้นที่รอบข้างอย่างละเอียดก่อนเริ่มงาน
หยุดงานทันทีหากพบไอระเหยไวไฟ
เช่น กลิ่นทินเนอร์ กลิ่นน้ำมันเชื้อเพลิง หรือพบการรั่วซึมของก๊าซ
เพราะประกายไฟแม้เพียงเล็กน้อยก็ทำให้ระเบิดได้
มีถังดับเพลิงพร้อมใช้งานในระยะเอื้อมมือ
รวมถึงผ้าดับเพลิง ต้องอยู่ในตำแหน่งที่หยิบได้เร็วที่สุด
ใช้ผ้าป้องกันสะเก็ดไฟรองพื้นที่
เพื่อป้องกันไม่ให้สะเก็ดไฟตกลงบนวัสดุไวไฟหรือภายในร่องพื้น
งานช่วงนี้เป็นช่วงที่ไฟไหม้เกิดขึ้นง่ายที่สุด เพราะมีความร้อนจริง จึงต้องเข้มงวดตลอดเวลา
3) หลังเสร็จงาน ขั้นตอนที่หลายคนมองข้าม แต่สำคัญมาก
หลังเสร็จงานความร้อนแล้ว ความเสี่ยงยังไม่หมด เพราะ “ความร้อนตกค้าง” สามารถทำให้ไฟลุกหลังเสร็จงานไปแล้วหลายชั่วโมง
ตรวจสอบพื้นที่ทั้งหมด
ดูว่าไม่มีวัสดุที่กำลังไหม้แบบคุกรุ่น ไม่มีควัน ไม่มีความร้อนสะสมในช่องว่าง เช่น ใต้พาเลต ใต้พื้น หรือหลังแผงเหล็ก
ผู้เฝ้าระวังไฟต้องอยู่ต่ออย่างน้อย 30 นาที
ในบางโรงงานกำหนด 1 ชั่วโมง หรือมากกว่า ขึ้นกับประเภทงานและความเสี่ยงของวัสดุรอบตัว
เก็บอุปกรณ์ให้เรียบร้อย
สายเชื่อม หัวเป่าไฟ ถังแก๊ส ต้องปิดวาล์วทุกตัว ตรวจรอยรั่ว และจัดเก็บในพื้นที่ปลอดภัย
รายงานผลการทำงาน
ส่งคืนใบอนุญาต Hot Work พร้อมรายงานสรุป เพื่อให้หน่วยงานรับทราบว่าปิดงานเรียบร้อยแล้ว
บทบาทของ จป. ในการควบคุมงาน Hot Work
เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน (จป.) มีหน้าที่สำคัญดังนี้
- ตรวจพื้นที่ก่อนอนุญาตให้ทำงาน
- ประเมินความเสี่ยงเฉพาะจุด
- ตรวจอุปกรณ์ดับเพลิงก่อนใช้งาน
- ตรวจ PPE
- ตรวจการปฏิบัติตามมาตรฐานระหว่างทำงาน
- ให้คำแนะนำแก้ไขทันทีเมื่อพบจุดเสี่ยง
- สรุปรายงานหลังจบงาน
จป. ถือเป็นผู้ช่วยชีวิตของสถานประกอบการ เพราะช่วยป้องกันอุบัติเหตุที่อาจสร้างความเสียหายระดับมหาศาล
ตัวอย่างเหตุการณ์จริงที่พบในโรงงาน (เพื่อใช้เป็นเคสเรียนรู้)
กรณี 1 ประกายไฟตกลงในร่องพื้น
แม้ผู้ปฏิบัติงานจะเก็บพื้นดีแล้ว แต่ยังมีเศษผ้าเปื้อนน้ำมันหลงเหลือในร่องใต้แท่นเครื่อง ทำให้เกิดคุกรุ่นและลามหลังเลิกงาน 20 นาที
สาเหตุ ไม่มีผู้เฝ้าระวังหลังเสร็จงาน
กรณี 2 ถังดับเพลิงใช้ไม่ได้
พบว่าแรงดันลดลง ไม่สามารถฉีดออกได้ระหว่างเกิดไฟลุกเล็ก ๆ จากงานเชื่อม
สาเหตุ ไม่มีการตรวจสอบถังก่อนเริ่มงาน
กรณี 3 ไอระเหยไวไฟสะสม
พื้นที่ปิดและมีการทาสีก่อนหน้า วันถัดมามีงานเชื่อมโดยไม่ได้ตรวจวัดก๊าซ ทำให้เกิดเปลวไฟในทันที
สาเหตุ ไม่มีการตรวจระบบระบายอากาศและวัดก๊าซ
เหตุการณ์เหล่านี้สามารถป้องกันได้ทั้งหมด หากทำตามมาตรการ Hot Work อย่างครบถ้วน
สรุป ระบบ Hot Work คือเกราะป้องกันที่ทุกโรงงานต้องมี
งานความร้อนและประกายไฟ เป็นงานที่ทำเป็นประจำ แต่ไม่ควรชะล่าใจแม้แต่นาทีเดียว ทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเตรียมงาน ระหว่างงาน จนถึงปิดงาน ล้วนต้องเป็นระบบ
จุดสำคัญที่ต้องจำไว้
- ต้องมีใบอนุญาต Hot Work ทุกครั้ง
- ต้องมีผู้เฝ้าระวังตลอดเวลา
- ต้องมีอุปกรณ์ดับเพลิงพร้อม
- ต้องตรวจพื้นที่หลังงานเสร็จเสมอ
- ต้องให้จป. ตรวจสอบเต็มกระบวนการ
หากทำถูกต้อง โอกาสเกิดไฟไหม้จะลดลงอย่างมาก ช่วยให้ทุกองค์กรปลอดภัย และสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยที่ยั่งยืน
