เรื่องที่ต้องรู้ เมื่อทำงานกับสารเคมีอันตราย - เซฟตี้อินไทย
อบรมหลักสูตรฟรี สำหรับสมาชิก          คลิกที่นี่

บทความ

เรื่องที่ต้องรู้ เมื่อทำงานกับสารเคมีอันตราย



การทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม ห้องแล็บ หรือแม้แต่ในฟาร์มเกษตร เรามักต้องเกี่ยวข้องกับ “สารเคมีอันตราย” อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นของเหลวที่ติดไฟง่าย สารกัดกร่อน หรือแม้แต่ก๊าซพิษที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า การละเลยความปลอดภัยหรือขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสารเคมีเหล่านี้ อาจนำไปสู่อุบัติเหตุร้ายแรงทั้งต่อร่างกาย ทรัพย์สิน และสิ่งแวดล้อม

เรื่องที่ต้องรู้ เมื่อทำงานกับสารเคมีอันตราย

เรื่องที่ต้องรู้ เมื่อทำงานกับสารเคมีอันตราย

เอกสารที่เกี่ยวข้องกับสารเคมีอันตราย

การควบคุมสารเคมีอันตรายไม่ได้หยุดอยู่ที่การเก็บให้ดีหรือใส่ชุดให้ครบเท่านั้น แต่ยังมี "เอกสารสำคัญ" ที่ทุกองค์กรต้องจัดทำ ได้แก่

เอกสารสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการจัดการสารเคมีอันตราย

เอกสารสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการจัดการสารเคมีอันตราย

1. แบบบัญชีรายชื่อสารเคมีอันตราย (สอ.1)

เอกสารนี้เป็นบัญชีรายชื่อสารเคมีอันตรายที่องค์กรครอบครอง พร้อมแนบรายละเอียดข้อมูลความปลอดภัย เช่น ชื่อสารเคมี ประเภทอันตราย ปริมาณที่จัดเก็บ และข้อมูลการควบคุม

  • ต้องแจ้งภายใน 7 วัน นับตั้งแต่วันที่เริ่มครอบครองสารเคมีอันตราย
  • จากนั้นในปีถัดไป ต้อง แจ้งซ้ำภายในเดือนมกราคมของทุกปี
ความสำคัญ: เพื่อให้หน่วยงานราชการสามารถติดตามและควบคุมความเสี่ยงจากสารเคมีในระดับประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2. รายงานผลการตรวจวัดและวิเคราะห์ระดับความเข้มข้นของสารเคมี (สอ.3)

ใช้สำหรับบันทึกผลการตรวจวัดสารเคมีอันตรายใน “บรรยากาศ” ของสถานที่ทำงานหรือพื้นที่จัดเก็บ โดยต้องระบุค่าเฉลี่ย ความถี่ และผลกระทบต่อผู้ปฏิบัติงาน

  • ต้องจัดทำอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
  • ค่าที่ตรวจวัดจะนำไปเทียบกับค่ามาตรฐาน (TLV) ว่าสูงเกินหรือไม่
ประโยชน์: เพื่อประเมินว่าสถานที่ทำงานยังคงปลอดภัย หรือควรปรับปรุงระบบระบายอากาศและวิธีจัดเก็บเพิ่มเติม

3. การประเมินความเสี่ยงต่อสุขภาพของลูกจ้าง

การสัมผัสสารเคมีอาจไม่แสดงผลทันที แต่ส่งผลสะสมในระยะยาว เช่น ระบบทางเดินหายใจ ผิวหนัง ระบบประสาท หรือแม้แต่ระบบสืบพันธุ์

  • ต้องมีการประเมินว่าลูกจ้างแต่ละกลุ่มมีความเสี่ยงแค่ไหน
  • กำหนดมาตรการป้องกันและตรวจสุขภาพประจำปีให้เหมาะสม

ตัวอย่างที่ควรพิจารณา

  • กลุ่มที่ทำงานใกล้สารระเหย
  • พนักงานที่ผสมสารเคมีโดยตรง
  • พนักงานขนย้ายถังเคมี

4. แผนปฏิบัติการกรณีมีเหตุฉุกเฉิน

ไม่มีใครอยากให้เหตุร้ายเกิดขึ้น แต่ถ้าเกิดแล้ว “การเตรียมตัว” คือสิ่งที่ช่วยลดความเสียหายได้ดีที่สุด

แผนนี้ควรระบุ

ควรมีการซ้อมแผนฉุกเฉินเป็นประจำ และประเมินผลการซ้อมเพื่อนำไปปรับปรุงให้ดีขึ้น
  • แบบบัญชีรายชื่อสารเคมีอันตรายและรายละเอียดข้อมูลความปลอดภัยของสารเคมีอันตราย (สอ.1)   แจ้งภายใน 7 วันนับแต่วันที่ครอบครองสารเคมีอันตราย แล้วในปีถัดไปแจ้งภายในเดือนมกราคมของทุกปี
แบบบัญชีรายชื่อสารเคมีอันตรายและรายละเอียดข้อมูลความปลอดภัยของสารเคมีอันตราย (สอ.1)

แบบบัญชีรายชื่อสารเคมีอันตรายและรายละเอียดข้อมูลความปลอดภัยของสารเคมีอันตราย (สอ.1)

  • รายงานผลการตรวจวัดและวิเคราะห์ระดับความเข้มข้นของสารเคมีอันตรายในบรรยากาศของสถานที่ทำงานและสถานที่เก็บรักษาสารเคมีอันตราย (สอ.3) อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง•การประเมินความเสี่ยงต่อสุขภาพของลูกจ้าง•จัดทำแผนปฏิบัติการกรณีมีเหตุฉุกเฉิน
รายงานผลการตรวจวัดและวิเคราะห์ระดับความเข้มข้นของสารเคมีอันตรายในบรรยากาศของสถานที่ทำงานและสถานที่เก็บรักษาสารเคมีอันตราย (สอ.3)

รายงานผลการตรวจวัดและวิเคราะห์ระดับความเข้มข้นของสารเคมีอันตรายในบรรยากาศของสถานที่ทำงานและสถานที่เก็บรักษาสารเคมีอันตราย (สอ.3)


ฉลากสารเคมี ต้องครบถ้วนและอ่านง่าย

มื่อพูดถึง “สารเคมีอันตราย” สิ่งแรกที่หลายคนมองข้ามคือ “ภาชนะบรรจุ” และ “ฉลาก” ทั้งที่ในความเป็นจริง นี่คือด่านแรกของความปลอดภัยในการทำงาน หากฉลากไม่ชัดเจน ข้อมูลไม่ครบ หรือภาชนะเสียหาย อาจทำให้ผู้ใช้งานเข้าใจผิด ใช้ผิดวิธี หรือรับอันตรายโดยไม่รู้ตัว

ตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัย ภาชนะบรรจุสารเคมีอันตรายทุกชนิด “ต้องมีฉลากและป้าย” ที่ถูกต้อง ครบถ้วน และอ่านเข้าใจง่าย โดยมีรายละเอียดขั้นต่ำที่จำเป็น ดังต่อไปนี้

ฉลากสารเคมี ต้องครบถ้วนและอ่านง่าย

ฉลากสารเคมี ต้องครบถ้วนและอ่านง่าย

1. ชื่อผลิตภัณฑ์ (Product Name)

ชื่อผลิตภัณฑ์จะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถระบุได้ว่าสารเคมีนี้คืออะไร ใช้สำหรับอะไร และแตกต่างจากสารเคมีอื่นอย่างไร เช่น “กรดซัลฟิวริก 98%” หรือ “Sodium Hypochlorite Solution”

ข้อควรระวัง: ห้ามใช้ชื่อย่อ หรือชื่อภายในองค์กรที่ไม่เป็นทางการ เพราะอาจทำให้สับสนเมื่อต้องสื่อสารข้ามหน่วยงาน

2. ชื่อสารเคมีอันตราย (Hazardous Substances)

ในผลิตภัณฑ์หนึ่งอาจมีหลายสารเคมีผสมอยู่ ชื่อสารเคมีอันตรายหลักต้องแสดงอย่างชัดเจน เช่น

  • Hydrochloric Acid
  • Benzene
  • Toluene

ข้อมูลนี้ช่วยให้เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยสามารถนำไปอ้างอิงในเอกสารอื่น เช่น แบบฟอร์ม สอ.1 และ MSDS (Material Safety Data Sheet)

3. รูปสัญลักษณ์ (Pictograms)

เป็นสัญลักษณ์มาตรฐานสากลที่แสดงถึงประเภทของอันตราย เช่น

  • รูปเปลวไฟ = วัตถุติดไฟง่าย
  • รูปหัวกะโหลก = พิษเฉียบพลัน
  • รูปมือโดนสารกัด = กัดกร่อนผิวหนัง

ข้อแนะนำ: สัญลักษณ์ควรเป็นสีที่ตัดกับพื้นฉลาก เห็นชัดจากระยะไกล เช่น พื้นขาว-ขอบแดง

4. คำสัญญาณ (Signal Words)

มักใช้คำสั้นๆ ที่สื่อถึงระดับความรุนแรงของสารเคมี เช่น

  • “อันตราย” (Danger) สำหรับสารเคมีที่มีความรุนแรงสูง
  • “ระวัง” (Warning) สำหรับความเสี่ยงระดับปานกลาง

คำเหล่านี้เป็น “ตัวเร่งความสนใจ” ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานหยุดคิดก่อนใช้งาน

5. ข้อความแสดงอันตราย (Hazard Statements)

คือข้อความที่บอกว่าสารเคมีนี้มีอันตรายอย่างไร เช่น

  • ทำให้เกิดอาการระคายเคืองต่อดวงตา
  • อาจทำให้เกิดมะเร็ง
  • ติดไฟได้หากอยู่ใกล้เปลวไฟ

ข้อมูลเหล่านี้ต้องสื่อสารอย่างตรงไปตรงมา ไม่คลุมเครือ และไม่ใช้ภาษาทางเทคนิคมากเกินไป

6. ข้อควรระวังหรือข้อปฏิบัติเพื่อป้องกันอันตราย (Precautionary Statements)

เป็นแนวทางการใช้งานอย่างปลอดภัย เช่น

  • สวมถุงมือและแว่นตาเมื่อใช้งาน
  • ห้ามสูดดมโดยตรง
  • เก็บให้ห่างจากแสงแดด

ข้อแนะนำเหล่านี้ควรอยู่ในรูปแบบ “เชิงปฏิบัติ” และสามารถทำได้จริงในหน้างาน

ทำไมฉลากจึงสำคัญ?

เพราะฉลาก คือ สิ่งที่จะบอกให้เรารู้ว่าสารเคมีนั้นคืออะไร อันตรายอย่างไร และควรใช้หรือหลีกเลี่ยงอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะสำหรับผู้ปฏิบัติงานที่ไม่ได้รับการฝึกอบรมเฉพาะทาง ฉลากจึงกลายเป็นแนวป้องกันชั้นแรกที่ต้องมีความชัดเจน อ่านง่าย และเข้าใจทันที

สถานที่ทำงาน และสถานที่เก็บรักษาสารเคมีอันตราย

การจัดการ “สถานที่ทำงาน” และ “สถานที่เก็บรักษาสารเคมีอันตราย” อย่างเป็นระบบและได้มาตรฐาน ถือเป็นอีกหนึ่งรากฐานสำคัญของความปลอดภัยในการทำงาน เพราะไม่ใช่แค่การเก็บของให้เป็นระเบียบเท่านั้น แต่หมายถึงการ “ควบคุมอันตราย” ที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อจากความประมาทเลินเล่อหรือความเข้าใจผิดของผู้ปฏิบัติงาน

สถานที่ทำงาน และสถานที่เก็บรักษาสารเคมีอันตราย

สถานที่ทำงาน และสถานที่เก็บรักษาสารเคมีอันตราย

1. จัดให้มีป้ายห้าม ป้ายให้ปฏิบัติ หรือป้ายเตือน

ที่ชัดเจนและเหมาะสมในบริเวณที่มีความเสี่ยง เช่น

  • พื้นที่ผสมสารเคมี
  • บริเวณจัดเก็บ
  • พื้นที่ห้ามเข้า
เพื่อให้คนในพื้นที่รับรู้และตระหนักรู้ถึงอันตรายได้ทันที แม้ไม่ได้รับการอบรมเฉพาะ

2. ป้ายห้ามสูบบุหรี่ รับประทานอาหาร หรือดื่มเครื่องดื่ม

การป้องกันไม่ให้สารเคมีปนเปื้อนเข้าสู่ร่างกายทางการบริโภคถือเป็นเรื่องสำคัญ

ข้อความแนะนำ

“ห้ามสูบบุหรี่ รับประทานอาหาร หรือเครื่องดื่มประกอบอาหาร หรือเก็บอาหาร”

3. ป้ายห้ามเข้าโดยไม่ได้รับอนุญาต

โดยเฉพาะใน “ห้องเก็บสารเคมีอันตราย” ซึ่งต้องจำกัดการเข้าถึงของผู้ที่ไม่มีหน้าที่โดยตรง

ข้อความแนะนำ

“สถานที่เก็บรักษาสารเคมีอันตราย ห้ามเข้าโดยไม่ได้รับอนุญาต”

สถานที่ทำงาน และสถานที่เก็บรักษาสารเคมีอันตราย

สถานที่ทำงาน และสถานที่เก็บรักษาสารเคมีอันตราย

4. แผนผังแสดงตำแหน่งอุปกรณ์ดับเพลิงและทางหนีไฟ

ในกรณีฉุกเฉิน เช่น ไฟไหม้หรือสารเคมีรั่วไหล ผู้ปฏิบัติงานจะสามารถอพยพออกจากพื้นที่ได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย

ติดแผนผังไว้ในตำแหน่งที่มองเห็นง่าย เช่น บริเวณทางเข้าอาคารหรือห้องเก็บสาร

5. ระบบระบายอากาศที่เหมาะสม

โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการใช้งานสารระเหย ก๊าซ หรือฝุ่นเคมี เพื่อป้องกันการสะสมของไอสารและลดความเสี่ยงในการหายใจเอาเข้าไป

อาจใช้ร่วมกับ: พัดลมดูดอากาศ, ระบบระบายแบบท่อลม, หรือ Hood ดูดไอสาร

6. การกั้นเขต กำแพง หรือสิ่งป้องกันการรั่วไหล

ต้องมีการจัดทำ “แนวกั้น” หรือ “กำแพงป้องกัน” ไม่ให้สารเคมีไหลออกจากพื้นที่จัดเก็บในกรณีฉุกเฉิน เช่น ถังรั่วหรือแตก

ควรคำนึงถึง

  • ความแข็งแรงของวัสดุ
  • การระบายน้ำสารเคมีไปยังบ่อดัก
  • ความลาดเอียงของพื้น

การคุ้มครองความปลอดภัย

ในการทำงานเกี่ยวข้องกับสารเคมีอันตราย ไม่ว่าจะเป็นการผลิต การผสม การจัดเก็บ หรือการขนย้าย สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือ “ความเสี่ยง” ทั้งต่อสุขภาพร่างกายและอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นแบบไม่คาดคิด

ดังนั้น การเตรียม “อุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัย” ให้ครบถ้วนจึงเป็นมาตรการสำคัญที่องค์กรต้องดำเนินการโดยไม่ประมาท

การคุ้มครองความปลอดภัย

การคุ้มครองความปลอดภัย


1. ที่ล้างตาและฝักบัวชำระล้างร่างกาย (Eyewash & Safety Shower)

หากสารเคมีกระเด็นเข้าตาหรือโดนผิวหนัง ต้องรีบชะล้างทันทีเพื่อป้องกันอาการระคายเคือง แผลไหม้ หรือการดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย

  • ควรติดตั้งใกล้พื้นที่ทำงาน
  • ต้องใช้งานได้ทันทีโดยไม่ต้องเปิดวาล์วหลายขั้นตอน
  • ตรวจสอบเป็นประจำให้พร้อมใช้งานตลอดเวลา

2. ที่ล้างมือและล้างหน้า

สำหรับชะล้างสิ่งปนเปื้อนจากการทำงานก่อนพักหรือออกจากพื้นที่ปฏิบัติงาน ช่วยลดโอกาสที่สารเคมีจะเข้าสู่ร่างกายผ่านการสัมผัส

3. อุปกรณ์เวชภัณฑ์สำหรับปฐมพยาบาลเบื้องต้น

เช่น

  • น้ำเกลือล้างแผล
  • ผ้าพันแผล
  • แอลกอฮอล์
  • ยาแก้พิษเบื้องต้น (เฉพาะชนิดที่จำเป็น)
ควรติดตั้งในจุดที่เข้าถึงง่าย /มีรายชื่อผู้รับผิดชอบชัดเจน/ตรวจสอบวันหมดอายุสม่ำเสมอ

4. ชุดทำงานเฉพาะ

ไม่ควรใช้ชุดธรรมดาหรือแฟชั่นมาทำงานเกี่ยวกับสารเคมี เพราะไม่สามารถป้องกันการรั่วซึมหรือการไหม้ได้

  • ชุดควรเป็นแบบปิดมิดชิด ทนต่อสารเคมี
  • เปลี่ยนหรือซักทันทีหลังใช้งาน
  • ควรแยกพื้นที่เก็บชุดทำงานกับชุดส่วนตัว

5. อุปกรณ์ดับเพลิง

เนื่องจากสารเคมีหลายชนิดติดไฟง่าย จึงต้องเตรียมถังดับเพลิงให้เหมาะสม เช่น:

  • ถัง CO₂ สำหรับสารที่ติดไฟจากไฟฟ้า
  • ถัง Dry Chemical สำหรับไฟประเภท A, B, C
  • ต้องติดตั้งให้ห่างจากจุดเสี่ยงไม่เกิน 15 เมตร
  • ตรวจเช็กแรงดันถังทุกเดือน และอบรมการใช้ให้พนักงานรู้

6. ห้องอาบน้ำ

ใช้สำหรับชำระล้างร่างกายหลังเลิกงาน ลดโอกาสนำสารเคมีติดตัวกลับบ้านหรือสัมผัสสมาชิกในครอบครัว

หมายเหตุ: ห้องน้ำควรแยกจากห้องเก็บสารอย่างชัดเจน และมีการระบายอากาศที่ดี

7. อุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคล (PPE)

อุปกรณ์เหล่านี้คือ “เกราะป้องกันชั้นสุดท้าย” ที่จะช่วยชีวิตและสุขภาพของผู้ปฏิบัติงาน เช่น:

  • หน้ากากกรองสารเคมี
  • แว่นตานิรภัย
  • ถุงมือกันสารเคมี
  • รองเท้านิรภัย
  • ผ้ากันเปื้อน หรือเสื้อคลุมพิเศษ
ต้องเลือกใช้ตามชนิดของสารเคมีที่เกี่ยวข้อง / ห้ามใช้ PPE ที่ชำรุด หรือหมดอายุ / พนักงานต้องผ่านการอบรมการใช้งาน PPE อย่างถูกวิธี

Comments


businessman

ติดต่อสอบถามคลิกไลน์ Safety In Thai ติดต่อสอบถามคลิกไลน์ Safety In Thai ติดต่อสอบถามคลิกไลน์ Safety In Thai