โรคจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อม ตามพ.ร.บ.ควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพ
ในยุคที่การทำงานเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว โรงงานมีเทคโนโลยีมากขึ้น พื้นที่ก่อสร้างมีความซับซ้อน และสิ่งแวดล้อมรอบตัวมนุษย์มีความเสี่ยงมากกว่าเดิม คำว่าโรคจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อมจึงกลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงบ่อย โดยเฉพาะในแวดวงความปลอดภัยในการทำงาน เพราะโรคเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัวเลย แต่เป็นสิ่งที่พบเจอได้จริงในสถานประกอบกิจการทุกประเภท
ประเทศไทยมีการออกกฎหมายเพื่อควบคุมเรื่องนี้อย่างเป็นระบบ ได้แก่ พระราชบัญญัติควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2562 ซึ่งถือเป็นกฎหมายสำคัญที่ช่วยยกระดับการป้องกันและควบคุมโรคที่เกี่ยวกับงานและสิ่งแวดล้อมให้เข้มแข็งขึ้นแนวทางของกฎหมายฉบับนี้มุ่งหมายให้ทุกสถานประกอบกิจการมีระบบบริหารจัดการที่ดี สามารถตรวจสอบ เฝ้าระวัง ป้องกัน และตอบสนองต่ออันตรายต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม
บทความนี้จะช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจองค์ประกอบสำคัญของโรคจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อม ลักษณะโรค อาการสำคัญ หน้าที่ของสถานประกอบการ รวมถึงแนวคิดที่ควรรู้ตามกฎหมายฉบับนี้ เพื่อให้สามารถนำไปใช้ได้จริงในสถานที่ทำงานหรือองค์กรที่เกี่ยวข้อง
ความหมายของโรคจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อม ตามมาตรา 4
กฎหมายกำหนดความหมายไว้ชัดเจน เพื่อให้สามารถแยกโรคที่เกิดจากการทำงานและโรคที่เกิดจากสิ่งแวดล้อมได้อย่างถูกต้อง ดังนี้
โรคจากการประกอบอาชีพ หมายความว่า โรคหรืออาการผิดปกติที่เกิดขึ้นจากหรือเป็นผลเนื่องมาจากการทำงานหรือการประกอบอาชีพ เช่น หมอที่ติดเชื้อจากผู้ป่วย ช่างเชื่อมที่สูดดมควันโลหะ พนักงานโรงงานที่สัมผัสสารเคมีเป็นประจำ เป็นต้น
โรคจากสิ่งแวดล้อม หมายความว่า โรคหรืออาการผิดปกติที่เกิดขึ้นจากหรือเป็นผลเนื่องมาจากมลพิษหรือปัจจัยที่เป็นอันตรายในสิ่งแวดล้อมรอบตัว เช่น ฝุ่นพิษที่มาจากโรงงานละแวกบ้าน การปนเปื้อนของสารเคมีในแหล่งน้ำ หรือมลพิษทางอากาศ PM 2.5
ทั้งสองส่วนนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวโยงกับชีวิตประจำวันของบุคคลทั่วไปเพิ่มเติมจากคนที่ทำงานในพื้นที่เสี่ยง ดังนั้นกฎหมายจึงกำหนดให้รัฐและสถานประกอบกิจการต้องมีมาตรการดูแลป้องกันร่วมกันอย่างชัดเจน
มาตรา 7 หัวใจสำคัญของการป้องกันและควบคุม
มาตรา 7 ของกฎหมายฉบับนี้กำหนดหน้าที่ให้รัฐบาลจัดทำรายการโรคหรืออาการสำคัญที่ควรเฝ้าระวังทั้งจากงานและจากสิ่งแวดล้อม เพื่อใช้เป็นแนวทางปฏิบัติทั่วประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ
(1) เฝ้าระวังโรคที่พบมากหรือมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
(2) ป้องกันการเกิดโรคโดยอาศัยข้อมูลวิชาการและสถิติ
(3) ควบคุมโรคให้ลดการแพร่กระจายและลดผลกระทบต่อชีวิตคนทำงานและชุมชน
ซึ่งประกาศกระทรวงสาธารณสุขในปี 2568 คือหนึ่งในประกาศที่ออกมาภายใต้นโยบายนี้ โดยประกาศแบ่งรายการโรคออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่คือโรคจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อม พร้อมตัวอย่างอาการสำคัญให้สถานประกอบกิจการนำไปใช้ประเมินความเสี่ยงในองค์กรได้อย่างถูกต้อง
ตัวอย่างโรคสำคัญที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม (ประกาศปี 2568)
กลุ่มนี้คือโรคหรืออาการผิดปกติที่เกิดจากมลพิษหรือจากปัจจัยในสิ่งแวดล้อม ไม่จำเป็นต้องทำงานในโรงงานก็สามารถเกิดขึ้นได้ แบ่งเป็น 3 ประเภทที่พบมาก ได้แก่
- โรคหรืออาการที่เกิดจากตะกั่วหรือสารประกอบของตะกั่ว บุคคลอาจได้รับสารตะกั่วโดยไม่รู้ตัว เช่น จากสีเก่า ท่อเก่า น้ำปนเปื้อน หรือโรงหล่อโลหะในพื้นที่ใกล้บ้าน อาการมักเริ่มจากความอ่อนเพลีย ปวดท้อง คลื่นไส้ และหากได้รับต่อเนื่องอาจทำให้ระบบประสาทเสียหาย
- โรคหรืออาการที่เกิดจากการสัมผัสฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน PM 2.5 เป็นฝุ่นพิษขนาดเล็กที่เข้าสู่ปอดได้ง่าย หากได้รับในปริมาณสูงหรือเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดโรคระบบหายใจเรื้อรัง หอบหืด ภูมิแพ้ ไปจนถึงโรคหัวใจ คนในพื้นที่เมืองใหญ่และพื้นที่ใกล้โรงงานอุตสาหกรรมมีความเสี่ยงสูง
- โรคหรืออาการที่เกิดจากรังสีแตกตัวหรือรังสีไอออไนซ์ วิศวกรรังสี บุคลากรทางการแพทย์ที่ทำงานด้านเอ็กซเรย์ รวมถึงบุคคลที่อยู่อาศัยใกล้แหล่งรังสีมีโอกาสได้รับผลกระทบ อาการเริ่มตั้งแต่ผมร่วง อ่อนเพลีย ไปจนถึงโรคร้ายแรงเช่นมะเร็ง
ตัวอย่างโรคสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการประกอบอาชีพ (ประกาศปี 2568)
กลุ่มนี้หมายถึงโรคที่เกิดขึ้นเนื่องจากสภาพการทำงานหรือปัจจัยเสี่ยงที่พบในสถานประกอบกิจการ โดยมี 6 ข้อที่ประกาศกำหนด ได้แก่
- โรคหรืออาการที่เกิดจากตะกั่วหรือสารประกอบของตะกั่ว พนักงานที่ทำงานในโรงหล่อโลหะ โรงงานแบตเตอรี่ หรือการพ่นสี มีความเสี่ยงสูงกว่า สามารถเกิดผลต่อสมอง เลือด และไต
- โรคหรืออาการที่เกิดจากผู้มีอาชีพสัมผัสเชื้อโรค ตัวอย่างเช่น บุคลากรการแพทย์ พนักงานห้องปฏิบัติการ คนงานโรงเชือดสัตว์ อาจติดเชื้อจากการทำงานโดยตรง เช่น วัณโรค เลปโตสไปโรซิส หรือโรคติดต่อทางเลือด
- โรคหรืออาการที่เกิดจากภาวะอับอากาศ พื้นที่ confined space เป็นจุดเสี่ยงสำคัญ เช่น ถังน้ำมัน บ่อบำบัด แม้มีออกซิเจนต่ำเพียงเล็กน้อย ก็สามารถทำให้ระบบหายใจล้มเหลวได้อย่างรวดเร็ว
- โรคหรืออาการที่เกิดจากแอสเบสตอส แร่ใยหินเป็นวัสดุที่เคยใช้กันอย่างแพร่หลายในอาคารเก่า ยานพาหนะ และท่อซีเมนต์ หากสูดดมเป็นเวลานานอาจก่อให้เกิดโรคปอดอักเสบเรื้อรัง หรือมะเร็งเยื่อหุ้มปอด
- โรคหรืออาการที่เกิดจากพยาธิจากการกินสัตว์ดิบหรือการสัมผัสวัสดุที่มีเชื้อ กลุ่มคนงานที่เกี่ยวข้องกับเนื้อสัตว์ การแปรรูปอาหาร หรือพื้นที่ชื้นสกปรกมีความเสี่ยงมากกว่า
- โรคหรืออาการที่เกิดจากรังสีแตกตัวหรือรังสีไอออไนซ์ในสถานประกอบกิจการ ตรงกับกลุ่มงานที่ใช้เครื่องเอกซเรย์ งานผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ หรือโรงงานที่ใช้วัสดุรังสี
บทบาทของสถานประกอบกิจการตามกฎหมาย
กฎหมายปี 2562 ไม่ได้ออกมาเพื่อเป็นภาระให้องค์กร แต่เพื่อให้เกิดการจัดการอย่างเป็นระบบ ป้องกันการสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน โดยสถานประกอบกิจการต้องดำเนินการดังนี้
1.จัดทำระบบประเมินความเสี่ยงต่อโรคจากการทำงานและสิ่งแวดล้อม ควรมีการประเมินความเสี่ยงประจำปี รวมถึงระบุงานที่เสี่ยงสูง เช่น งานเชื่อม งานขัดโลหะ งานสารเคมี งานรังสี
2.จัดให้มีการตรวจสุขภาพตามปัจจัยเสี่ยง
ตัวอย่างเช่น
- ตรวจเลือดตะกั่วสำหรับผู้สัมผัสสารตะกั่ว
- ตรวจสมรรถภาพปอดของคนงานที่สัมผัสฝุ่น
- ตรวจรังสีของผู้ปฏิบัติงานด้านเอ็กซเรย์
3.จัดให้มีระบบเฝ้าระวังโรคอย่างต่อเนื่อง องค์กรควรมีบันทึกข้อมูลสุขภาพของพนักงานเป็นรายบุคคล และมีระบบแจ้งเตือนเมื่อพบความผิดปกติ
4.ให้ความรู้และอบรมพนักงาน จป. และหัวหน้างานควรจัดอบรมเรื่องสารเคมี อันตรายจากฝุ่น การทำงานในพื้นที่อับอากาศ การป้องกันโรคจากการทำงาน ให้สอดคล้องกับประเภทงาน
5.รายงานโรคจากการประกอบอาชีพต่อหน่วยงานรัฐ เมื่อพบพนักงานมีอาการต้องแจ้งหน่วยงานตามที่กฎหมายกำหนด เพื่อให้สามารถตรวจสอบและควบคุมโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ความสำคัญของการควบคุมโรคในมุมองค์กรและสังคม
การควบคุมโรคจากงานและสิ่งแวดล้อมไม่ใช่แค่เรื่องของพนักงาน แต่เป็นเรื่องที่ส่งผลถึงองค์กร สังคม และประเทศ เพราะ
- ลดอัตราการเจ็บป่วยและการลางาน
- ลดต้นทุนค่ารักษาและค่าชดเชย
- เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและความปลอดภัย
- สร้างภาพลักษณ์ที่ดีขององค์กร
- ลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมในชุมชน
เมื่อองค์กรมีระบบที่ดี ย่อมลดความเสี่ยงได้มาก และช่วยให้พนักงานทำงานอย่างมั่นใจมากขึ้น
สรุป
กฎหมายควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2562 ถือเป็นกฎหมายสำคัญที่ช่วยกำหนดมาตรฐานการป้องกันและเฝ้าระวังโรคในสังคมไทย เดิมทีหลายโรคเป็นปัญหาเรื้อรังที่ถูกมองข้าม แต่เมื่อมีกฎหมายและประกาศที่ชัดเจน ทำให้สถานประกอบกิจการสามารถนำหลักการไปปรับใช้ได้จริง
ไม่ว่าจะเป็นโรคจากตะกั่ว ฝุ่น PM2.5 สารเคมี รังสี หรือโรคที่เกิดจากสภาพการทำงาน ล้วนสามารถป้องกันได้หากมีความรู้และระบบที่เหมาะสม
เซฟตี้อินไทย เชื่อว่าหากทุกองค์กรร่วมมือกัน เรื่องโรคจากงานและสิ่งแวดล้อมจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่แบบที่ผ่านมา แต่จะกลายเป็นเรื่องที่บริหารจัดการได้ พร้อมทำให้คนไทยทำงานอย่างปลอดภัย สุขภาพดี และมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น



