CPR การช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐาน
ในสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีผู้หมดสติและหยุดหายใจ การปฐมพยาบาลขั้นพื้นฐานที่เรียกว่า "CPR" หรือ "การช่วยฟื้นคืนชีพ" ถือเป็นทักษะที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะสามารถช่วยชีวิตผู้ประสบเหตุได้ในนาทีวิกฤต โดยเฉพาะในช่วง 4 นาทีแรกที่หัวใจหยุดเต้น ซึ่งหากปล่อยไว้นานกว่านั้นสมองจะขาดออกซิเจนและเกิดความเสียหายถาวร
บทความนี้จะพาผู้อ่านไปทำความเข้าใจขั้นตอนการทำ CPR อย่างถูกต้องตามลำดับ พร้อมภาพประกอบที่น่ารักจากเพจ เซฟตี้อินไทย เพื่อช่วยให้จดจำง่ายและสามารถนำไปใช้ได้จริง
ขั้นตอนที่ 1 ตรวจสอบว่าผู้ป่วยมีสติหรือไม่
ก่อนจะทำการใด ๆ ต้องประเมินผู้ป่วยเบื้องต้นโดยการเรียกชื่อ หรือเขย่าตัวเบา ๆ หากไม่มีการตอบสนอง ไม่ขยับตัว ไม่ลืมตา ให้ถือว่าเป็น "หมดสติ"
หากผู้ป่วยหมดสติ = เข้าสู่ภาวะวิกฤต ต้องเริ่มการช่วยเหลือทันที
ขั้นตอนที่ 2 เรียกขอความช่วยเหลือ
เมื่อพบว่าผู้ป่วยหมดสติ ให้ตะโกนเรียกคนรอบข้างให้มาช่วยทันที เช่น "ช่วยด้วย! มีคนหมดสติ!" เพื่อกระตุ้นให้มีคนมาช่วย หรือสามารถไปนำเครื่อง AED (เครื่องกระตุกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ) ได้หากอยู่ในพื้นที่ที่มี
ขั้นตอนที่ 3 โทรแจ้งสายด่วน 1669
เป็นขั้นตอนสำคัญที่ห้ามลืม คือ การโทรแจ้งหน่วยแพทย์ฉุกเฉิน เพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้ามาช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว โดยระหว่างที่รอรถพยาบาล เราสามารถเริ่ม CPR ไปได้เลย
เบอร์ 1669 คือหมายเลขฉุกเฉินสำหรับการแพทย์ฉุกเฉินของประเทศไทย
ขั้นตอนที่ 4 ตรวจดูว่าผู้ป่วยหายใจหรือไม่
ให้เปิดทางเดินหายใจด้วยการเชยคางและกดหน้าผากเบา ๆ แล้วดูว่า หน้าอกมีการขยับหรือไม่ หรือเอาหูแนบใกล้จมูกผู้ป่วยเพื่อฟังเสียงลมหายใจ
ถ้าไม่พบการหายใจหรือหายใจเฮือก (agonal breathing) ถือว่าเข้าสู่ภาวะหัวใจหยุดเต้น
ขั้นตอนที่ 5 เริ่มต้นการทำ CPR โดยการวางมืออย่างถูกต้อง
ให้ผู้ช่วยเหลือคุกเข่าข้างตัวผู้ป่วย วางส้นมือข้างหนึ่งบนกระดูกหน้าอก บริเวณครึ่งล่างของกระดูกหน้าอก จากนั้นวางมืออีกข้างซ้อนทับกัน ปลายนิ้วไม่สัมผัสหน้าอก
ข้อศอกต้องเหยียดตรง ไม่งอแขน และให้แรงมาจากลำตัวเพื่อกดได้แรงพอ
ขั้นตอนที่ 6 ตั้งศอกให้ตรง โน้มตัวให้หัวไหล่อยู่ตรงจุดกด
หัวไหล่ของผู้ช่วยเหลือต้องอยู่เหนือมือที่กดโดยตรง น้ำหนักตัวจึงจะถ่ายลงสู่หน้าอกผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ การโน้มตัวอย่างถูกวิธีจะช่วยให้แรงกดสม่ำเสมอและลดการเมื่อยล้า
ขั้นตอนที่ 7 เริ่มกดหน้าอกด้วยความเร็ว 100 ครั้งต่อนาที
ความเร็วในการกดหน้าอกต้องอยู่ที่ประมาณ 100-120 ครั้งต่อนาที แต่ละครั้งต้องกดให้ลึกประมาณ 5-6 เซนติเมตร และให้หน้าอกดีดตัวกลับขึ้นมาก่อนกดครั้งต่อไปเสมอ
ใช้เพลงเช่น "Stayin' Alive" ของ Bee Gees เพื่อช่วยจับจังหวะได้ดี
ห้ามกดเร็วเกินไป ห้ามกดตื้นเกินไป และห้ามไม่ให้หน้าอกดีดกลับ
การใช้งาน AED (ถ้ามี)
ถ้าพบเครื่อง AED ใกล้จุดเกิดเหตุ ให้นำมาใช้งานทันที โดยเปิดเครื่องและทำตามคำแนะนำเสียงพูดของเครื่อง เครื่องจะบอกให้แปะแผ่นนำไฟฟ้าที่หน้าอก แล้วจะวิเคราะห์จังหวะหัวใจและช็อกไฟฟ้าหากจำเป็น
หยุดการกดหน้าอกชั่วคราวขณะเครื่องวิเคราะห์จังหวะหัวใจ
ทำต่อเนื่องจนกว่ามีการตอบสนองหรือเจ้าหน้าที่มาถึง
การทำ CPR ต้องทำต่อเนื่องโดยไม่หยุด จนกว่าผู้ป่วยจะเริ่มขยับหรือหายใจ หรือจนกว่าหน่วยแพทย์ฉุกเฉินจะมาถึงและรับช่วงต่อ
ถ้ามีผู้ช่วยหลายคน ควรผลัดเปลี่ยนกันทุก 2 นาที เพื่อรักษาความแรงและความสม่ำเสมอในการกดหน้าอก
ทักษะนี้ไม่ควรรอให้เกิดเหตุจึงเรียนรู้
การฝึกอบรม CPR อย่างถูกวิธี จะช่วยให้ประชาชนมีความมั่นใจในการช่วยชีวิตผู้อื่น และยังเพิ่มโอกาสรอดชีวิตของผู้ประสบเหตุได้อย่างมหาศาล
จากสถิติ: หากทำ CPR ภายใน 4 นาทีหลังหัวใจหยุดเต้น โอกาสรอดชีวิตอาจเพิ่มขึ้นถึง 2-3 เท่า
สรุป
CPR ไม่ใช่แค่เรื่องของแพทย์ หรือเจ้าหน้าที่กู้ภัยเท่านั้น แต่คือหน้าที่ของทุกคนที่พร้อมยื่นมือช่วยเหลือผู้ประสบเหตุ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงาน คนในครอบครัว หรือแม้แต่คนแปลกหน้าบนท้องถนน
หากคุณรู้จัก CPR และลงมือทำทันทีเมื่อมีเหตุ คุณอาจเป็น "ฮีโร่" ที่ช่วยชีวิตคน ๆ หนึ่งไว้ได้อย่างแท้จริง
แนะนำให้เข้าอบรมหลักสูตร CPR กับวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ จากเซฟตี้อินไทย ที่มีทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติจริง ใช้อุปกรณ์จริงจำลองสถานการณ์ พร้อมใบรับรองผ่านการอบรม
อย่ารอให้เหตุเกิดก่อนแล้วจึงนึกถึงการเรียนรู้ เพราะในชีวิตจริง... โอกาสในการช่วยชีวิตอาจมีแค่ครั้งเดียว