ข้อควรระวังอันตรายในห้องปฎิบัติการ - เซฟตี้อินไทย
อบรมหลักสูตรฟรี สำหรับสมาชิก          คลิกที่นี่

บทความ

ข้อควรระวังอันตรายในห้องปฎิบัติการ



การทำงานในห้องปฏิบัติการเกี่ยวข้องกับสารเคมี อุปกรณ์ และขั้นตอนการทดลองที่อาจเป็นอันตรายได้ หากไม่ระมัดระวัง ดังนั้น การปฏิบัติตามข้อควรระวังต่างๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อป้องกันอุบัติเหตุและรักษาความปลอดภัยของทุกคนในห้องปฏิบัติการ


ข้อควรระวังอันตรายในห้องปฏิบัติการ : คู่มือความปลอดภัยสำหรับทุกคน


ข้อควรระวังอันตรายในห้องปฏิบัติการ

ข้อควรระวังทั่วไป

  • แต่งกายให้เหมาะสม สวมเสื้อคลุมปฏิบัติการ แว่นตานิรภัย ถุงมือ และรองเท้าที่ปิดมิดชิด
  • อ่านฉลากสารเคมี ทำความเข้าใจเกี่ยวกับอันตรายและวิธีการใช้สารเคมีก่อนนำมาใช้งาน
  • ห้ามรับประทานอาหาร เครื่องดื่ม หรือสูบบุหรี่ในห้องปฏิบัติการ: เพื่อป้องกันการปนเปื้อนของสารเคมีเข้าสู่ร่างกาย
  • ทำความสะอาดห้องปฏิบัติการให้เรียบร้อย: เก็บอุปกรณ์ให้เข้าที่ และทำความสะอาดคราบสารเคมีที่หกเลอะเทอะ
  • แจ้งให้ผู้ควบคุมทราบหากเกิดอุบัติเหตุ: เพื่อให้ได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที


1. ไฟไหม้ ในห้องปฏิบัติการ

          ไฟไหม้ เป็นอุบัติเหตุที่มักเกิดขึ้นในห้องปฏิบัติการเสมอ เมื่อมีการใช้ตัวทำละลายอินทรีย์ วิธีป้องกันที่ดี ที่สุดคือไม่ใช้หรือไม่ปล่อยให้มีเปลวไฟในห้องปฏิบัติการ การต้มตัวทำละลายอินทรีย์ต้องทำในอ่างน้ำร้อนเท่านั้น ห้ามทำให้ ร้อนบนฮ็อตเพลตโดยตรง และไม่ควรปล่อยตัวทำละลายอินทรีย์ที่ระเหยง่ายไว้ในบีกเกอร์โดยไม่มีฝาปิด เพราะไอของตัวทำ-ละลายจะแผ่ปกคลุมไปตามโต๊ะปฏิบัติการ และเมื่อติดไฟแล้วจะลุกลามมาทบีกเกอร์ต้นเหตุ ทำให้เกิดไฟไหม้รุนแรงได้



สาเหตุของไฟไหม้ในห้องปฏิบัติการ

  • สารเคมีไวไฟ ตัวทำละลายอินทรีย์ เช่น เฮกเซน อีเทอร์ เป็นต้น มีจุดวาบไฟต่ำ จึงติดไฟได้ง่าย
  • แหล่งจุดระเบิด เปลวไฟจากเตา บุหรี่ ไฟฟ้าสถิต หรืออุปกรณ์ความร้อน
  • การรั่วไหลของสารเคมี สารเคมีที่รั่วไหลอาจระเหยเป็นไอและติดไฟได้ง่ายเมื่อสัมผัสกับแหล่งจุดระเบิด
  • การปฏิบัติงานที่ไม่ระมัดระวัง การเทสารเคมีอย่างรวดเร็ว การจุดบุหรี่ในบริเวณที่ห้าม หรือการไม่ปิดวาล์วแก๊สให้สนิท


การป้องกันไฟไหม้

  • หลีกเลี่ยงการใช้เปลวไฟ หากจำเป็นต้องใช้ ควรใช้ในปริมาณน้อยที่สุดและมีการควบคุมอย่างเข้มงวด
  • ใช้ตู้ดูดควัน เมื่อทำงานกับสารเคมีที่มีไอระเหย ควรทำในตู้ดูดควันเพื่อลดความเข้มข้นของไอระเหยในอากาศ
  • เก็บสารเคมีไวไฟอย่างถูกต้อง เก็บในตู้เก็บสารเคมีที่ระบุไว้ชัดเจน และอยู่ในที่เย็นและมีอากาศถ่ายเทสะดวก
  • ตรวจสอบอุปกรณ์ไฟฟ้า ตรวจสอบอุปกรณ์ไฟฟ้าให้มีความปลอดภัยอยู่เสมอ ไม่ควรใช้สายไฟที่ชำรุด
  • ติดตั้งเครื่องตรวจจับควันและแก๊ส เพื่อให้สามารถตรวจพบไฟหรือแก๊สรั่วไหลได้อย่างรวดเร็ว
  • ฝึกอบรมพนักงาน จัดให้มีการฝึกอบรมให้พนักงานทุกคนทราบถึงวิธีการป้องกันและดับเพลิงเบื้องต้น
  • มีแผนอพยพ วางแผนการอพยพในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน และทำการฝึกซ้อมเป็นประจำ

การจัดการเหตุการณ์ไฟไหม้

  • แจ้งเหตุ แจ้งเจ้าหน้าที่ดับเพลิงและแจ้งเตือนผู้คนในบริเวณใกล้เคียงให้รีบอพยพ
  • ดับเพลิง หากไฟยังเล็กอยู่ อาจใช้ถังดับเพลิงที่เหมาะสมกับชนิดของสารเคมีในการดับไฟ แต่ต้องระมัดระวังอย่าให้ตัวเองได้รับอันตราย
  • อพยพ อพยพออกจากพื้นที่เกิดเหตุโดยเร็วที่สุด และไปรวมกลุ่มกัน ณ จุดนัดพบที่กำหนดไว้
  • ห้ามกลับเข้าไปในพื้นที่เกิดเหตุ จนกว่าเจ้าหน้าที่ดับเพลิงจะยืนยันว่าปลอดภัยแล้ว


การปฏิบัติตามข้อควรระวังเหล่านี้ จะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดไฟไหม้ในห้องปฏิบัติการ และช่วยให้สามารถรับมือกับเหตุการณ์ไฟไหม้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ


2. การระเบิด ในห้องปฏิบัติการ

          การระเบิด มักเกิดจากการต้มสารเคมีหรือทำปฏิกิริยาใดๆ ในภาชนะที่เป็นระบบปิดมิดชิด ก่อนเริ่มกลั่น หรือเริ่มทำปฏิกิริยาต้องตรวจสอบให้แน่ใจก่อนว่ามีช่องทางระบายไอออกจากระบบแล้ว อีกกรณีหนึ่งคือ การทำปฏิกิริยา ระหว่างสารเคมีที่ห้ามผสมกัน ซึ่งมักเกิดขึ้นเพราะไม่รู้มาก่อน อันตรายของการระเบิด จะเนื่องมาจากเศษแก้วแตกทิ่มแทง และสารเคมีกระเด็นถูกร่างกาย ซึ่งอาจทั้งร้อนและกัดกร่อนหรือเป็นพิษ 



สาเหตุของการระเบิดในห้องปฏิบัติการ

  • การสะสมของแก๊ส การทำปฏิกิริยาบางชนิดอาจก่อให้เกิดแก๊สที่ติดไฟง่าย เช่น ไฮโดรเจน หรือแก๊สที่เป็นพิษ เช่น คลอรีน การสะสมของแก๊สเหล่านี้ในภาชนะปิดอาจทำให้เกิดแรงดันสูงและระเบิดได้
  • ความร้อนสะสม ปฏิกิริยาเคมีบางชนิดปลดปล่อยความร้อนจำนวนมาก หากไม่มีการระบายความร้อนอย่างเหมาะสม ความร้อนที่สะสมอาจทำให้เกิดการระเบิดได้
  • การปนเปื้อนของสารเคมี การปนเปื้อนของสารเคมีที่ไม่เข้ากัน อาจทำให้เกิดปฏิกิริยาเคมีที่รุนแรงและก่อให้เกิดการระเบิดได้
  • อุปกรณ์ที่ชำรุด เครื่องแก้วที่แตกหัก หรือท่อที่รั่ว อาจทำให้สารเคมีรั่วไหลและเกิดการระเบิดได้


วิธีป้องกันการระเบิด 

  • ตรวจสอบความบริสุทธิ์ของสารเคมี ก่อนนำสารเคมีมาใช้ในการทดลอง ควรตรวจสอบความบริสุทธิ์และอายุการใช้งานของสารเคมี
  • คำนวณปริมาณสารเคมี ก่อนทำปฏิกิริยา ควรคำนวณปริมาณสารเคมีที่ใช้ให้ถูกต้อง เพื่อป้องกันการเกิดปฏิกิริยาที่รุนแรง
  • ใช้ภาชนะที่แข็งแรง เลือกใช้ภาชนะที่ทำจากวัสดุที่ทนทานต่อสารเคมี และมีความแข็งแรงเพียงพอ
  • ระบายความร้อน หากปฏิกิริยาปลดปล่อยความร้อนจำนวนมาก ควรใช้ระบบระบายความร้อน เช่น อ่างน้ำแข็ง
  • ทำงานในตู้ดูดควัน เมื่อทำงานกับสารเคมีที่ระเหยง่าย หรือมีอันตราย ควรทำในตู้ดูดควัน
  • สวมอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล เช่น แว่นตานิรภัย ถุงมือ เสื้อคลุม เพื่อป้องกันอันตรายจากสารเคมีที่อาจกระเด็น
การปฏิบัติตามข้อควรระวังเหล่านี้ จะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดการระเบิดในห้องปฏิบัติการ และช่วยให้สามารถรับมือกับเหตุการณ์ระเบิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ



3. ผิวหนังไหม้เกรียม


          อุบัติเหตุเล็กๆ ที่เกิดขึ้นบ่อยมากคือ ผิวหนังไหม้เกรียม สาเหตุอาจเกิดจากสารเคมีหกรด ตามร่างกาย และการทำงานที่เกี่ยวกับความร้อน เนื่องจากสารเคมีหลายประเภท เช่น กรดและเบส เป็นต้น มีสมบัติกัดกร่อน ต่อผิวหนัง จึงควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสโดยตรง ถ้าหกเลอะบนพื้นโต๊ะปฏิบัติการหรือที่ใดก็ตาม จะต้องทำความสะอาดทันทีด้วย ความระมัดระวัง เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นอันตรายต่อผู้อื่น ถ้าหกเลอะปริมาณมากต้องแจ้งให้เจ้าหน้าที่ในห้องปฏิบัติการมาจัดการ เมื่อสัมผัสกับสารเคมีแม้เพียงเล็กน้อย ให้รีบล้างด้วยน้ำสะอาดอย่างน้อย 15 นาที แต่ถ้าหกรดตัวเป็นบริเวณกว้าง ให้ถอดเสื้อผ้า ที่เปื้อนออก และเช็ดหรือซับสารเคมีออกจากตัวอย่างรวดเร็ว แล้วจึงชำระล้างโดยใช้ที่ล้างตัวฉุกเฉินนานอย่างน้อย 15 นาที ในกรณีที่ต้องทำงานกับความร้อน ต้องใช้ถุงมือกันความร้อน หรืออุปกรณ์สำหรับหยิบหรือจับของร้อน





สาเหตุของผิวหนังไหม้เกรียม

  • ความร้อน นอกจากสารเคมีแล้ว ความร้อนจากเปลวไฟ หรืออุปกรณ์ความร้อน เช่น เตาบุนเซน แผ่นความร้อน ก็สามารถทำให้ผิวหนังไหม้เกรียมได้
  • รังสี รังสีบางชนิด เช่น รังสีอัลตราไวโอเลต สามารถทำให้ผิวหนังไหม้ได้หากสัมผัสเป็นเวลานาน
  • ไฟฟ้าสถิต ไฟฟ้าสถิตที่เกิดขึ้นจากการเสียดสี อาจทำให้เกิดประกายไฟและทำให้ผิวหนังไหม้ได้


วิธีป้องกันผิวหนังไหม้เกรียม

สวมอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล

  • ถุงมือ เลือกถุงมือที่เหมาะสมกับชนิดของสารเคมีที่ใช้
  • แว่นตานิรภัย ป้องกันสารเคมีกระเด็นเข้าตา
  • เสื้อคลุมปฏิบัติการ ป้องกันสารเคมีกระเด็นใส่ตัว
  • รองเท้าที่ปิดมิดชิด ป้องกันสารเคมีหกใส่เท้า


ระมัดระวังในการทำงาน

  • ทำงานอย่างระมัดระวัง ไม่ประมาท
  • ตรวจสอบอุปกรณ์ให้พร้อมใช้งานก่อนเริ่มงาน
  • ทำความสะอาดโต๊ะปฏิบัติการให้สะอาดอยู่เสมอ


ฝึกอบรม

  • เข้ารับการฝึกอบรมเกี่ยวกับความปลอดภัยในห้องปฏิบัติการเป็นประจำ
  • เรียนรู้วิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้น


การจัดการเมื่อผิวหนังไหม้เกรียม

  • ล้างด้วยน้ำสะอาด ล้างบริเวณที่ถูกสารเคมีสัมผัสด้วยน้ำสะอาดปริมาณมากและนานอย่างน้อย 15 นาที เพื่อชะล้างสารเคมีออกให้หมด
  • ถอดเสื้อผ้า ถอดเสื้อผ้าที่เปื้อนสารเคมีออกทันที
  • ห้ามขัดถู การขัดถูอาจทำให้สารเคมีซึมเข้าสู่ผิวหนังลึกขึ้น
  • ปรึกษาแพทย์ หลังจากล้างทำความสะอาดแล้ว ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจและรักษาที่เหมาะสม

การป้องกันและการให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นที่ถูกต้อง จะช่วยลดความรุนแรงของอาการผิวหนังไหม้เกรียม และป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง

4. แก้วบาด


          อุบัติเหตุแก้วบาดที่เกิดบ่อยที่สุด คือ ระหว่างการใช้งานเครื่องแก้ว และเทอร์โมมิเตอร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เวลาสวมต่อเครื่องแก้วกับเครื่องแก้วอีกชิ้นหนึ่งหรือสายยาง วิธีปฏิบัติที่ถูกต้องคือ ต้องหล่อลื่นเครื่องแก้วโดยใช้น้ำหรือกรีส ทาบางๆที่ข้อต่อของเครื่องแก้ว หรือบริเวณที่จะสวมต่อกันให้ทั่ว จากนั้นจับอุปกรณ์ตรงตำแหน่งห่างจากปลายที่ต้องการสวม ต่อกันประมาณ 1 นิ้ว แล้วสวมหรือสอดเข้าหากันโดยออกแรงดันเพียงเล็กน้อย พร้อมกับหมุนอุปกรณ์ช้าๆ เลื่อนตำแหน่งที่จับ แล้วทำซ้ำจนได้ระยะที่ต้องการ เมื่อทำงานเสร็จแล้ว ให้ถอดออกโดยค่อยๆขยับพร้อมกับหมุนช้าๆและออกแรงดึงเพียงเล็กน้อย หากปฏิบัติไม่ถูกต้องอาจเกิดอันตรายรุนแรง เนื่องจากการทิ่มแทงของเครื่องแก้วแตก ซึ่งอาจทำให้เส้นประสาทและเส้นเอ็น ขาดได้




สาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุจากแก้วบาด 

  • การใช้งานเครื่องแก้วที่แตกหรือมีรอยร้าว เครื่องแก้วที่แตกหรือมีรอยร้าวมีความเสี่ยงที่จะแตกหักได้ง่ายเมื่อถูกแรงกระแทกหรือความร้อน
  • การใส่จุกยางหรือก๊อกที่แน่นเกินไป การใส่จุกยางหรือก๊อกที่แน่นเกินไป อาจทำให้เครื่องแก้วแตกเมื่อต้องการถอดออก
  • การทำความสะอาดเครื่องแก้วไม่สะอาด คราบสารเคมีที่ติดอยู่บนเครื่องแก้วอาจทำให้เครื่องแก้วเปราะและแตกหักได้ง่าย
  • การเคลื่อนย้ายเครื่องแก้วที่บรรจุสารเคมี การเคลื่อนย้ายเครื่องแก้วที่บรรจุสารเคมีโดยไม่ระมัดระวัง อาจทำให้เครื่องแก้วหล่นแตกและเกิดอันตรายได้

วิธีป้องกันอุบัติเหตุจากแก้วบาด

  • ตรวจสอบเครื่องแก้วก่อนใช้งาน ตรวจสอบว่าเครื่องแก้วไม่มีรอยร้าวหรือชำรุดเสียหาย
  • ใช้ผ้าขนหนูหรือกระดาษทิชชู่รองรับ เมื่อวางเครื่องแก้ว ควรใช้ผ้าขนหนูหรือกระดาษทิชชู่รองรับ เพื่อป้องกันเครื่องแก้วหล่นแตก
  • หลีกเลี่ยงการใช้แรงมากเกินไป เมื่อใส่จุกยางหรือก๊อก ควรใช้แรงที่พอเหมาะ ไม่ใส่แน่นเกินไป
  • สวมถุงมือ เมื่อทำความสะอาดเครื่องแก้วหรือเคลื่อนย้ายเครื่องแก้ว ควรสวมถุงมือเพื่อป้องกันมือจากการบาด
  • เก็บเครื่องแก้วให้เป็นระเบียบ เก็บเครื่องแก้วให้เป็นระเบียบในที่ที่ปลอดภัย เพื่อป้องกันการชนกันและแตกหัก

การจัดการเมื่อเกิดอุบัติเหตุจากแก้วบาด

  • หยุดการทดลอง: หยุดการทดลองทันที และแจ้งให้ผู้ควบคุมทราบ
  • ทำความสะอาดบริเวณที่เกิดเหตุ: กวาดเศษแก้วออกให้หมด เพื่อป้องกันการบาดเจ็บของผู้อื่น
  • ปฐมพยาบาลเบื้องต้น: หากมีบาดแผล ให้ทำความสะอาดแผลด้วยน้ำสะอาดและสบู่ ห้ามเลือด และปิดแผล
  • ปรึกษาแพทย์: หากบาดแผลลึกหรือมีเลือดออกมาก ควรรีบปรึกษาแพทย์

ข้อควรระวังเพิ่มเติม

  • การกำจัดเศษแก้ว: กำจัดเศษแก้วในภาชนะที่ปิดสนิทและมีป้ายเตือนว่าเป็นของมีคม
  • การฝึกอบรม: จัดให้มีการฝึกอบรมเกี่ยวกับความปลอดภัยในการใช้เครื่องแก้วให้กับบุคลากรเป็นประจำ
การปฏิบัติตามข้อควรระวังเหล่านี้ จะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดอุบัติเหตุจากแก้วบาด และสร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ปลอดภัย



5. การสูดดมไอของสารเคมี

          สารเคมีทุกชนิด มีความดันไอค่าหนึ่ง ในห้องปฏิบัติการจึงมีกลิ่นไอของสารเคมีปะปนอยู่มากมาย ถ้าเก็บสารเคมีไว้ปริมาณมาก จะมีไอของสารเคมีในบรรยากาศมาก เมื่อสูดดมไอของสารเคมีบางชนิดจะทำให้จมูก คอ และปอดระคายเคือง ความเป็นอันตรายขึ้นอยู่กับชนิดและปริมาณที่ได้รับเข้าสู่ร่างกาย จึงต้องหลีกเลี่ยงการสูดดมไอของสารเคมี โดยตรง ถ้าจำเป็นต้องทดสอบด้วยการสูดดม ให้ถือภาชนะบรรจุสารเคมีห่างจากตัวประมาณ 6 นิ้ว แล้วใช้มือโบกพัดไอ เข้าหาจมูก ถ้าต้องการระเหยตัวทำละลายออก ต้องทำในตู้ดูดควัน หรือทำโดยการกลั่น ห้ามระเหยแห้งโดยการต้มในภาชนะเปิดที่โต๊ะปฏิบัติการ



อันตรายจากการสูดดมไอสารเคมี

  • ผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจ อาการระคายเคือง ไอ หายใจลำบาก แน่นหน้าอก อาจนำไปสู่โรคปอดเรื้อรัง หรือแม้แต่ปอดอักเสบ
  • ผลกระทบต่อระบบประสาท สารเคมีบางชนิดอาจส่งผลต่อระบบประสาท ทำให้เกิดอาการมึนงง เวียนหัว ปวดหัว และในกรณีรุนแรงอาจทำให้หมดสติ
  • ผลกระทบต่ออวัยวะภายใน สารเคมีบางชนิดอาจถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดและไปทำลายอวัยวะภายใน เช่น ตับ ไต
  • มะเร็ง สารเคมีบางชนิด เช่น เบนซีน อาจเป็นสารก่อมะเร็ง การสูดดมไอสารเคมีในระยะยาวอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง


วิธีป้องกันการสูดดมไอสารเคมี 

  • ทำงานในตู้ดูดควัน เมื่อทำงานกับสารเคมีที่มีไอระเหย ควรทำในตู้ดูดควันเสมอ เพื่อดึงไอสารเคมีออกจากบริเวณที่ทำงาน
  • สวมหน้ากากป้องกันสารเคมี เลือกใช้หน้ากากป้องกันสารเคมีที่เหมาะสมกับชนิดของสารเคมีที่ใช้
  • ระบายอากาศในห้องปฏิบัติการ ห้องปฏิบัติการควรมีระบบระบายอากาศที่ดี เพื่อลดความเข้มข้นของไอสารเคมีในอากาศ
  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ การสูบบุหรี่ในห้องปฏิบัติการจะเพิ่มความเสี่ยงในการสูดดมไอสารเคมี
  • ตรวจสอบฉลากสารเคมี อ่านฉลากสารเคมีอย่างละเอียดเพื่อทราบถึงอันตรายและวิธีการใช้งานที่ถูกต้อง
  • หลีกเลี่ยงการเทสารเคมี หลีกเลี่ยงการเทสารเคมีโดยตรงลงในอ่างล้างจาน หรือทิ้งลงในท่อระบายน้ำ
  • เก็บสารเคมีในภาชนะที่ปิดสนิท เก็บสารเคมีในภาชนะที่ปิดสนิทและมีฉลากระบุชื่อสารเคมีอย่างชัดเจน


การจัดการเมื่อสูดดมไอสารเคมี

  • ออกจากบริเวณที่เกิดเหตุ รีบออกจากบริเวณที่มีไอสารเคมีสูง
  • หายใจในอากาศบริสุทธิ์ หายใจในอากาศบริสุทธิ์ให้มากที่สุด
  • ปรึกษาแพทย์ หากมีอาการผิดปกติ เช่น ไอ หายใจลำบาก เวียนหัว ควรรีบปรึกษาแพทย์


การปฏิบัติตามข้อควรระวังเหล่านี้ จะช่วยลดความเสี่ยงจากการสูดดมไอสารเคมี และสร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ปลอดภัย


6. สารเคมีเข้าปาก 

          สารเคมีเข้าปากมักเกิดขึ้นโดยบังเอิญ ที่พบเห็นบ่อยมี 3 แบบ คือ การดูดสารเคมีเข้าพิเพตด้วยปาก ไม่ล้างมือเมื่อเปื้อน สารเคมี และการแอบกินลูกอมหรือของขบเคี้ยวในห้องปฏิบัติการ การป้องกันไม่ให้สารเคมีเข้าปากทำได้ ง่ายๆ คือ ใช้ลูกยางหรืออุปกรณ์ดูดสารเคมีเข้าพิเพต ห้ามดูดด้วยปากโดยเด็ดขาด ล้างมือทุกครั้งเมื่อเปื้อนสารเคมี จะช่วยลด โอกาสการปนเปื้อนของสารเคมีบนใบหน้า เนื่องจากเผลอเอามือป้ายหน้า หรือการปนเปื้อนของสารเคมีบนสิ่งของต่างๆ ที่หยิบ หรือจับต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องล้างมือให้สะอาดก่อนออกจากห้องปฏิบัติการ และก่อนรับประทานอาหาร นอกจากนี้แล้วยัง มีข้อห้ามอื่นๆ ได้แก่ ห้ามนำเกลือ น้ำตาล แอลกอฮอล์ ในห้องปฏิบัติการไปผสมหรือปรุงอาหาร ห้ามใช้เครื่องแก้วใดๆ ใส่อาหารหรือเครื่องดื่ม ห้ามแช่อาหารหรือเครื่องดื่มในตู้เย็นที่เก็บสารเคมีหรือตู้น้ำแข็ง และห้ามรับประทานน้ำแข็งจาก ตู้น้ำแข็งในห้องปฏิบัติการ




อันตรายจากการรับประทานสารเคมีเข้าไป 

  • การทำลายอวัยวะภายใน: นอกจากการระคายเคืองทางเดินอาหารแล้ว สารเคมีบางชนิดยังสามารถทำลายอวัยวะภายในอื่นๆ ได้ เช่น ไต ตับ ระบบประสาท และอาจทำให้เกิดความผิดปกติทางพันธุกรรมได้
  • การสะสมในร่างกาย: สารเคมีบางชนิดอาจสะสมในร่างกายและแสดงอาการออกมาในภายหลัง เช่น โลหะหนักบางชนิด
  • การเสียชีวิต: ในกรณีที่รับประทานสารเคมีเข้าไปในปริมาณมากหรือเป็นสารเคมีที่มีพิษรุนแรง อาจทำให้เสียชีวิตได้


วิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อรับประทานสารเคมีเข้าไป 

  • อย่าทำให้อาเจียน: ยกเว้นในกรณีที่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์หรือศูนย์พิษวิทยา เนื่องจากการทำให้อาเจียนอาจทำให้สารเคมีกระเด็นเข้าไปในหลอดลมและปอดได้ และอาจทำให้บาดเจ็บที่หลอดอาหาร
  • ดูแลผู้ป่วยให้นอนราบ ช่วยให้ผู้ป่วยนอนราบและหายใจสะดวก
  • ติดต่อศูนย์พิษวิทยา โทรติดต่อศูนย์พิษวิทยาเพื่อขอคำแนะนำในการปฐมพยาบาลที่ถูกต้องและเหมาะสมกับชนิดของสารเคมีที่รับประทานเข้าไป
  • นำฉลากสารเคมีไปด้วย เมื่อโทรติดต่อศูนย์พิษวิทยา ควรเตรียมฉลากของสารเคมีที่รับประทานเข้าไป เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถให้คำแนะนำที่ถูกต้องได้
  • ส่งตัวผู้ป่วยไปโรงพยาบาล หลังจากให้การปฐมพยาบาลเบื้องต้นแล้ว ควรรีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด


ข้อควรจำเพิ่มเติม

  • การติดป้ายเตือน ควรติดป้ายเตือนเกี่ยวกับอันตรายของสารเคมีในบริเวณที่เก็บสารเคมี
  • การตรวจสอบอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล ควรตรวจสอบอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ
  • การจัดเก็บสารเคมี ควรจัดเก็บสารเคมีให้เป็นระเบียบเรียบร้อย และห่างจากอาหารและเครื่องดื่ม

การป้องกันที่ดีที่สุดคือการหลีกเลี่ยงไม่ให้สารเคมีเข้าสู่ร่างกาย การปฏิบัติตามขั้นตอนความปลอดภัย และการมีสติอยู่เสมอ จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุได้


สรุป

การทำงานในห้องปฏิบัติการเกี่ยวข้องกับสารเคมี อุปกรณ์ และกระบวนการที่อาจก่อให้เกิดอันตรายได้ หากไม่ปฏิบัติตามข้อควรระวัง ดังนั้น การทำความเข้าใจและปฏิบัติตามกฎความปลอดภัยจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อป้องกันอุบัติเหตุและรักษาความปลอดภัยของตนเองและผู้อื่น

Comments


businessman

ติดต่อสอบถามคลิกไลน์ Safety In Thai ติดต่อสอบถามคลิกไลน์ Safety In Thai ติดต่อสอบถามคลิกไลน์ Safety In Thai